1.“บิ๊กตู่ ไม่โอเคคดี “บอส” เหตุหลายเรื่องยังไม่ชัด ด้านประธาน ก.อ.ชี้คำสั่งไม่ฟ้องของ “เนตร นาคสุข” ไม่ชอบด้วย กม.!
ความคืบหน้ากรณีนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทแสนล้านของกระทิงแดง ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขับรถเฟอร์รารี่ ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 ทั้งที่คดีดังกล่าวยังเหลืออายุความอีกหลายปี นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่ได้เห็นแย้งกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ และดำเนินการเพื่อถอนหมายจับนายวรยุทธ ปรากฏว่า ได้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ร้อนถึงอัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ต่อมา ปรากฏว่า 1 ในพยานปากเอกที่เคยให้การว่า นายวรยุทธ ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. คือ นายจารุชาติ มาดทอง มาเสียชีวิตกะทันหันเมื่อวันที่ 30 ก.ค. จากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เกี่ยวกัน ท่ามกลางความคลางแคลงใจของสังคมว่า เป็นการปิดปากหรือฆ่าตัดตอนหรือไม่ ซึ่งตอนแรกนายสมชาย ตาวิโน คู่กรณีอ้างว่าไม่รู้จักนายจารุชาติ แต่ภายหลังกลับพบหลักฐานว่า ทั้งคู่ดื่มเหล้าที่ร้านเดียวกัน ก่อนชวนกันไปต่ออีกที่หนึ่ง แต่รถเกี่ยวกันจนล้ม และนายจารุชาติเสียชีวิต
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอายัดศพนายจารุชาติไว้ก่อน เพื่อให้การพิสูจน์ศพนายจารุชาติถึงสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง ซึ่งตามกำหนด ทางญาติจะเผาศพนายจารุชาติในวันดังกล่าว
ด้านแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นำโดย รศ.นพ.ขัยวัฒน์ บำรุงกิจ ผู้อำนวยการ รพ.ฯ ได้แถลงถึงผลการผ่าชันสูตรศพนายจารุชาติเมื่อวันที่ 3 ส.ค.สรุปว่า ผลการตรวจครั้งที่ 2 เหมือนครั้งแรก การเสียชีวิตมาจากเลือดออกฐานสมองและช่องท้อง จากการพบรอยปื้นใหญ่บริเวณนี้ เหตุจากการเอาบ่าลงไปที่วัตถุไม่มีคม เกิดแรงสะบัด และปริที่เส้นเลือดบริเวณฐานสมอง เสียชีวิตเพราะการกระแทกอย่างแรง ไม่มีร่องรอยการถูกยิง ส่วนการตรวจสอบสารอื่นในเลือด กำลังตรวจและรอผลที่ออกมา ซึ่งสามารถอธิบายได้ เพราะเบื้องต้นพบแอลกอฮอล์มากกว่า 218 ซีซี
ด้านนายสมชาย แสวงการ ประธาน กมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวหลังประชุม กมธ.ได้ตั้งข้อสังเกตการเสียชีวิตของนายจารุชาติว่า เป็นการตายผิดธรรมชาติ เบื้องต้นได้รับข้อมูลว่า ถนนมี 4 เลน เหตุเกิดเวลา 01.00 น. การจราจรขณะนั้นโล่ง โอกาสเกิดการเฉี่ยวชนยาก ขอตั้งสังเกตว่าเป็นการฆ่าตัดตอนหรือไม่ และเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ที่ผู้ชนและนายจารุชาติจะมาเจอกัน รวมถึงเรื่องซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือที่พบข้อพิรุธว่า สูญหายขณะเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เผยว่า บุคคลที่รับโทรศัพท์มือถือไปจากญาติของนายจารุชาติ คือ นายล้าน ลูกน้องของนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ ส.ว.ก๊อง โดยนายล้าน อ้างว่า ในช่วงที่นายชูชัยบวชอยู่ ได้เคยถ่ายภาพกับนายจารุชาติหลายครั้ง เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จึงมีรูปภาพของตนเองอยู่ในมือถือของนายจารุชาติหลายภาพ และว่า ตนเองกำลังจะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศบาลตำบลสุเทพเร็วๆ นี้ เมื่อทราบว่านายจารุชาติที่เสียชีวิตเป็นพยานคนสำคัญในคดีดัง จึงเกรงว่าจะได้รับผลกระทบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงได้ไปขอโทรศัพท์มาจากญาติและลบภาพทิ้ง นายล้าน ยังอ้างต่อว่า เมื่อมีการเสนอข่าวว่ามีบุคคลลึกลับนำโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติไป จึงเกิดความกลัวว่าจะถูกโยงไปเกี่ยวข้อง จึงนำโทรศัพท์ไปทุบทำลายและโยนทิ้งถังขยะ จากนั้นก็มีรถมาเก็บขยะไปทิ้ง
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบ บอกว่า ข้อมูลที่ได้มา ยังเป็นข้อสงสัยที่ตำรวจจะสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่า ในโทรศัพท์ของนายจารุชาติมีข้อมูลอะไรที่สำคัญต่อคดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทางญาติได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ ดำเนินคดีกับนายล้าน ที่นำโทรศัพท์ของนายจารุชาติไป เบื้องต้น พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์ และอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมว่า โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นวัตถุสำคัญในคดีหรือไม่ และตรวจสอบข้อกฎหมายด้วยว่า เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายหรือไม่
ส่วนกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธนั้น เมื่อวันที่ 4 ส.ค. คณะทำงานตรวจสอบการสั่งคดี นำโดยนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงาน แถลงยืนยันว่า นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดได้มีความเห็นและสั่งคดีนี้ไปตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวน คณะทำงานเห็นว่า การสั่งคดีของนายเนตร เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานเห็นว่า แม้การสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ จะเด็ดขาดไปแล้ว แต่ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่ น่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาได้ ก็สามารถสอบสวนต่อได้ ซึ่งคณะทำงานตรวจพบในสำนวนสอบสวนมีการตรวจเลือดของนายวรยุทธในวันเกิดเหตุ และพบสารประเภทโคเคนในเลือด แต่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ (โคเคน) จำคุก 6 เดือนถึง 3 ปี ส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้อัยการจะสั่งไม่ฟ้อง แต่ปรากฏพยานหลักฐานสำคัญ คือ นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้ให้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อว่า เมื่อเกิดเหตุ ได้รับการประสานจาก พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ แตงจั่น (กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ขณะนั้น) ให้ไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุ และดูกล้องวงจรปิด พร้อมคิดคำนวณความเร็วของรถที่แล่นไปขณะเกิดเหตุ โดยยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุ รถของนายวรยุทธแล่นด้วยความเร็วประมาณ 170 กม./ชม. โดยนายสธนได้ทำรายงานการคิดคำนวณส่งให้กับกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อใช้ประกอบคดี แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (4 ส.ค.) นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้ทำหนังสือถึงนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ระบุทำนองเผยข้อเท็จจริงตอนหนึ่งว่า คดีของนายวรยุทธมีการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง ซึ่งครั้งหลัง ร.ต.ต.พงษ์นิวัต ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดขณะนั้น ได้สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว ดังนั้นต้องถือว่า คำสั่งฟ้องเดิมของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ยังมิได้ถูกกลับและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด หยิบยกการร้องขอความเป็นธรรมขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งและสั่งไม่ฟ้อง จึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบฯ พนักงานอัยการที่จะมีอำนาจพิจารณาสั่งคดีดังกล่าวได้อีก คืออัยการสูงสุดเท่านั้น รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายหรือปฏิบัติราชการแทน ไม่มีอำนาจสั่งคดีดังกล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ กมธ.กฎหมายฯ ของสภาฯ จะเชิญนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ มาชี้แจง แต่นายเนตร ไม่มาชี้แจงแต่อย่างใด
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงคดีนายวรยุทธเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ว่า เป็นเรื่องที่ท้าทายระบบยุติธรรมและระบบกฎหมาย กระทบต่อความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อระบบรัฐทั้งหมด “ผมจึงขอแสดงจุดยืนเรื่องบอสกระทิงแดงว่า ผมไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส จะผลักดันและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะดำเนินการหลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความอิสระและประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม”
2.โปรดเกล้าฯ ครม. ประยุทธ์ 2/2 "ปรีดี" นั่งคลัง "สุพัฒนพงษ์" คุมพลังงานควบรองนายกฯ ด้าน "ดอน" ได้ควบ "รองนายกฯ" อีกตำแหน่ง!
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 9 มิ.ย. พ.ศ.2562 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาสลงวันที่ 10 ก.ค. พ.ศ.2562 นั้น
บัดนี้ นายกฯ ได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรับมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างและเพิ่มเติมบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายปรีดี ดาวฉาย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 5 ส.ค. พ.ศ.2563
เป็นที่น่าสังเกตว่า ครม.ประยุทธ์ 2/2 มีพลิกโผเล็กน้อย โดยได้เพิ่มตำแหน่งรองนายกฯ ขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง จากเดิม ครม.ประยุทธ์ 2/1 มีรองนายกฯ 5 คน รวมเป็น 6 คน โดยนายดอน รมว.ต่างประเทศ ได้นั่งควบรองนายกฯ อีกตำแหน่ง ส่วนรัฐมนตรีคนนอก 2 คน คือ นายสุพัฒนพงษ์ กับนายปรีดี มีการขยับจากโผเดิม ที่มีการคาดหมายว่า นายปรีดีจะได้เป็นรองนายกฯ และ รมว.คลัง แต่สุดท้ายเปลี่ยนให้นายสุพัฒนพงษ์ มาเป็นรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ส่วนนายอนุชา นายสุชาติ นายเอนก และนางนฤมล เป็นไปตามโผเดิม โดย ครม.ประยุทธ์ 2/2 ได้แต่งตั้งครบ 36 คน 41 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงเหตุผลการเพิ่มตำแหน่งรองนายกฯ ให้กับนายดอน อีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งนายกฯ ตอบว่า เพื่อยกระดับกระทรวงการต่างประเทศ ในการดูแลงานด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย เพราะเรื่องงานต่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องการลงทุนด้วย โดยหวังให้เป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรี ในงานพูดคุยและเชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศด้วย โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดคลี่คลาย
ส่วนเหตุผลที่ต้องมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เพราะต้องการให้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ เพื่อตอบโจทย์การมีงานทำให้มากยิ่งขึ้น เพราะรัฐบาลอยากให้คนไทยพัฒนาตัวเองให้เป็นระดับหัวหน้าแรงงานและมีฝีมือ ไม่อยากให้เป็นแรงงานที่ไร้ฝีมือ
3.ยิงสนั่นบ่อนย่านพระราม 3 ดับ 4 ศพ มี ตร.ด้วย ด้าน “ชูวิทย์” แฉ “เฮียตี้” เจ้าของบ่อน!
เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 3 ส.ค. ตำรวจ สน.ทุ่มมหาเมฆ ได้รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ภายในอาคารพาณิชย์ ซอย 66 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 10 คูหา ชั้นล่างเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เปิดเป็นบ่อนการพนัน ภายในอาคารพบผู้เสียชีวิต 4 ราย เป็นชาย 2 หญิง 2 ถูกอาวุธปืนยิงเข้าตามร่างกาย โดย 1 ในผู้เสียชีวิตเป็นตำรวจ ทราบชื่อคือ พ.ต.ต.วัชทธเศรษฐ์ หรือแม็ก สำเนียงประเสริฐ อาวุ 32 ปี ตำแหน่ง สว.(สอบสวน) สน.แสมดำ, น.ส.พีรญา นุ่มละมูล อายุ 44 ปี, นายถาวร สีสด อายุ 51 ปี และผู้หญิงไม่ทราบชื่อ ไม่พบเอกสารประจำตัว แต่ภายหลังทราบว่าเป็นชาวกัมพูชา ชื่อ นางเมา สะแลเปา อายุ 29 ปี ซึ่งทางญาติได้ติดต่อผ่านสถานทูตกัมพูชา เพื่อประสานขอรับศพนางเมาไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีผู้เปิดบ่อนการพนันสับเปลี่ยนมาเช่าเปิดหลายรายแล้ว ล่าสุด มีบุคคลชื่อ “เฮีย ต.” มาเช่าเปิดเป็นบ่อนคาบาร่า พนันกำถั่ว ตั้งตู้เกมได้ไม่นาน โดยย้ายบ่อนมาจากบางรัก ช่วงเกิดเหตุนายถาวรนำอาวุธปืนออกมายิงใส่ พ.ต.ต.วัทธเศรษฐ์ หลังถูกทวงเงินภายในห้องวีไอพี ส่วนผู้หญิงที่เสียชีวิตทั้ง 2 รายเป็นคนแจกไพ่ ระหว่างนายถาวรใช้อาวุธปืนยิงใส่ พ.ต.ต.วัทธเศรษฐ์ พ.ต.ท.วัทธเศรษฐ์ พยายามหลบหนีออกจากห้อง ก่อนล้มลง และถูกยิงซ้ำบริเวณห้องโถงจนเสียชีวิต จากนั้นนายถาวรใช้อาวุธปืนยิงผู้หญิงทั้งสองคนเสียชีวิต จากนั้นโทรศัพท์แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทางครอบครัวทราบ ต่อมา คนในบ่อนได้ใช้อาวุธปืนยิงนายถาวรจนเสียชีวิต
ด้าน พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ ผบก.น.9 กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.อำนาจ หาญชนะ ผกก.สน.แสมดำ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ต.วัทธเศรษฐ์ ที่ สน.แสมดำ ไม่ได้มีข้อบกพร่องหรือมีปัญหาอะไร พฤติกรรมส่วนตัวทราบว่า ชอบเล่นการพนัน แต่ไม่ทราบว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีผลประโยชน์หรือไม่ นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังไม่พบว่ามีปัญหาหนี้สิน
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุยิงกันตายในบ่อนดังกล่าว พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.ได้มีคำสั่งให้ตำรวจ 5 นายมาปฏิบัติราชการที่ ศปก.น. ประกอบด้วย 1.พล.ต.ต.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ผบก.น.5, 2.พ.ต.อ.สุธี เสน่ห์ลักษณา ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง, 3.พ.ต.อ.อดิเรก โปธิปัน รอง ผกก.ป.สน.ทุ่งมหาเมฆ, 4.พ.ต.ท.ณรงค์ แป้นปลื้ม สวป.สน.ทุ่งมหาเมฆ และ 5.พ.ต.ท.ณัชฐปกรณ์ หัดคำ สว.สส. สน.ทุ่งมหาเมฆ นอกจากนี้ บช.น.ยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุยิงในบ่อนดังกล่าวด้วย
ส่วนกรณีมีภาพปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่า มีการขนย้ายสิ่งของภายในอาคารบ่อนดังกล่าว รวมทั้งปรากฏภาพว่า มีกล้องวงจรปิดภายในอาคาร แต่ทางตำรวจกลับระบุว่า ไม่มีกล้องวงโจรปิด ซึ่งภายหลังมีภาพเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า มีบุคคลในบ่อนกำลังถอดกล้องวงจรปิดออก ท่ามกลางศพผู้เสียชีวิตที่พื้นและที่เก้าอี้ภายในบ่อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุยิงกันในบ่อน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีต ส.ส.ได้ออกมาเผยว่า บ่อนดังกล่าวเป็นของเฮียตี้ เป็นที่รู้จักกันในวงการพนัน เปิดมานานนับสิบปี โดยบ่อนเฮียตี้ปิดไปช่วงโควิด เพราะไม่มีลูกค้า โดยลูกค้าเพิ่งกลับมา 1-2 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนสาเหตุที่ยิงกัน นายชูวิทย์ระบุว่า มาจาก พ.ต.ต.วัทธเศรษฐ์หรือสารวัตรแม็กชอบเล่นการพนัน เล่นที่ฝั่งธนบ้าง และข้ามมาเล่นบ่อนนี้บ้าง ก็ไปเจอกับนายถาวร สีสด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ไม่ใช่คนจีนอย่างที่เป็นข่าว จึงมีการทวงหนี้กันขึ้น แต่ตกลงกันไม่ได้ ทำให้ลุกลามจนถึงขั้นยิงกัน เมื่อยิงสารวัตรแม็กตาย คนคุมบ่อนก็เลยยิงคนยิงสารวัตรแม็กกบับ เพราะกลัวเหตุการณ์บานปลาย พอยิงกันไปมาก็พลาดไปโดนคนอื่น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่รัฐสภา นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธาน กมธ.การตำรวจ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องคดียิงในบ่อนเข้าชี้แจง ซึ่งต่อมา นายฉลอง เรี่ยวแรง อดีตผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี พรรค พปชร.ในฐานะที่ปรึกษา กมธ.ตำรวจ ได้ให้สัมภาษณ์หลังรับฟังการชี้แจงว่า ในที่ประชุม นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธาน กมธ.ได้นำภาพชายฉกรรจ์รื้อกล้องวงจรปิดที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์มาสอบถามข้อเท็จจริงกับตำรวจ กลับได้คำตอบแบบเลี่ยงบาลี ถามอย่างตอบอย่าง ส่วน ผบช.น.ตอบเลี่ยงว่า ภาพที่ปรากฏเป็นคนละห้องกัน แต่ กมธ.แย้งว่า นี่เป็นห้องเดียวกันชัดๆ เมื่อถามเรื่องการย้ายโต๊ะโดยไม่สนใจศพที่นอนอยู่ ตำรวจก็ตอบไม่ตรงคำถาม บอกว่า ตรวจสอบอยู่ และเกี่ยวกับรูปคดี ผบช.น.ยืนยันกับ กมธ.ว่า เป็นคลิปเก่า แต่ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ใช่ คนพูดต้องรับผิดชอบ เวลาพูดอะไร มันจะอยู่ในบันทึกของ กมธ.หมด รวมถึงเรื่องเวลาการไปถึงสถานที่เกิดเหตุด้วย หากมีตัวตนยืนยันการโทร.แจ้งไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้น จะถือว่าละเลยปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เจ้าของบ่อนโยกย้ายข้าวของไปได้ ตำรวจชุดนี้ต้องรับผิดชอบ
ในเวลาต่อมา พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.เผยหลังเข้าชี้แจง กมธ.ตำรวจว่า จากการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยอมรับสถานที่เกิดเหตุ เป็นบ่อนการพนันจริง เปิดมาระยะหนึ่งแล้ว ตำรวจพยายามสืบสวนให้ทราบแน่ชัดว่า ใครเป็นเจ้าของ ส่วนประเด็นฆาตกรรม เบื้องต้นมีคนร้ายมากกว่า 1 คน ได้เบาะแสแล้ว 1 คน ส่วนจะมีฉายา “บอย บ้านครัว” หรือไม่ ขออนุญาตไม่ตอบ เพราะอาจกระทบกับสำนวนสอบสวน แต่ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ตำรวจ
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เผยเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เร่งรัดติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี พร้อมขยายผลให้ได้ภายใน 3 วัน หากพ้นกำหนดวันที่ 10 ส.ค. ต้องมีคำสั่งย้าย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ มาช่วยราชการที่ ศปก.ตร.
วันเดียวกัน (6 ส.ค.) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ได้เข้าพบตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ นำหลักฐานที่อ้างว่าเป็นรูปถ่ายเฮียตี้มามอบให้ ก่อนเผยว่า ตามที่มีข่าวว่า มีคนเจ้าของฉายา “บอย บ้านครัว” เป็นคนยิงนายถาวร สีสด เสียชีวิตนั้น ยืนยันว่ารู้จักกัน และเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนยิง ส่วนเฮียตี้คาดว่าคงหลบไปอยู่กับผู้ใหญ่ที่ไว้เนื้อเชื่อใจ และว่า คืนเกิดเหตุ มีการทำเป็นปฏิบัติการชายชุดดำ 4-5 คน เข้าไปรัวยิง ก่อนจะเข้าไปในบ่อน มีการดับไฟหน้าทางเข้า เมื่อก่อเหตุเสร็จแล้วก็หลบหนีออกทางประตูด้านหลัง
ทั้งนี้ ต่อมาตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆได้ขอศาลออกหมายจับนายพิพิธ ศรีสุวรรณ์ หรือบอย บ้านครัว ซึ่งต่อมา ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัว พร้อมปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ต่อมาตำรวจได้นำตัวนายพิพิธขอศาลฝากขัง หลังศาลอนุญาตและไม่มีญาติขอประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นอกจากนี้วันเดียวกัน ตำรวจยังได้ขอศาลฝากขังนายธนบูลย์ หรือต้น สารลึก ผู้ต้องหาที่ทำลายหลักฐานในบ่อนด้วย หลังศาลอนุญาตฝากขัง ญาติของนายธนบูลย์ได้ยื่นหลักทรัพย์ 200,000 บาทขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลพิจารณาอนุญาตโดยตีราคาประกัน 200,000 บาท
4.ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี คนแชร์โพสต์หมิ่น “บิ๊กป้อม” 10 คน กล่าวหาซื้อดาวเทียม เพื่อใช้ละเมิดสิทธิ ปชช.!
เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีแชร์โพสต์เพจ KonthaiUK ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุทัศน์ ประตัง หรือปะตัง กับพวก รวม 21 คน เป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
โดยโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2563 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2561 นางวัฒนา เอ็บเบจช์ ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง และเป็นสมาชิกเฟซบุ๊ก ชื่อสมาชิก “KonthaiUK” ได้ลงภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และบรรยายข้อความหมิ่นประมาท พร้อมภาพและข้อภาพอื่นๆ ซึ่งข้อความดังกล่าวคนอ่านเข้าใจได้ว่า ขณะนั้น พล.อ.ประวิตร มีโครงการจะจัดซื้อดาวเทียม ราคา 91,200 ล้านบาท มาเพื่อใช้ละเมิดสิทธิของประชาชนและหาผลประโยชน์จากการจัดซื้อดาวเทียมดังกล่าว ซึ่งล้วนเป็นเท็จ เพราะกระทรวงกลาโหมไม่มีโครงการที่จะซื้อดาวเทียมราคา 91,200 ล้านบาท มาเพื่อละเมิดสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด
ต่อมา ระหว่างวันที่ 4-11 มิ.ย.2561 จำเลยทั้งหมดได้นำข้อความดังกล่าวไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก เป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทส และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหมดตามความผิด โดยจำเลยได้รับการประกันตัว ปรากฏว่า ในชั้นสอบคำให้การ เฉพาะจำเลยที่ 2, 5, 6, 11, 12, 14, 16, 18, 20, 21 ให้การรับสารภาพ ศาลจึงสั่งสืบเสาะประวัติการกระทำความผิดเพื่อประกอบคำพิพากษา โดยจำเลยทั้ง 10 คน เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดโดยการเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 6, 11, 12, 14, 16, 18, 20, 21 คนละ 2 ปี ปรับคนละ 40,000 บาท แต่จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือคงจำคุกคนละ 1 ปี และปรับ 20,000 บาท อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดเคยจำคุกมาก่อน จึงให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ไม่ชำระค่าปรับ ให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
5.ตำรวจรวบ “ไมค์ ระยอง-อานนท์” แกนนำปลดแอก ข้อหายุยง-ปลุกปั่น ก่อนขอศาลฝากขัง ด้าน ส.ส.ก้าวไกลรีบขอประกันตัว!
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 กลุ่มแกนนำม็อบปลดแอกได้จัดกิจกรรมร่วมกับกลุ่มบุคคลเพื่อเรียกร้องบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมนายภาณุพงศ์ จาดนอก และนายอานนท์ นำภา แกนนำจัดกิจกรรมดังกล่าว โดยเป็นการจับกุมตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 6 ส.ค. 63 ในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนฯ ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะมั่วสุม หรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันง่าย หรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคฯ ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัย หรือความสะดวกในการจราจรฯ ร่วมกันวาง ตั้ง ยื่นหรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรฯ ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายจับเข้าจับกุมนายภาณุพงศ์ จาดนอก บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จากการร่วมชุมนุม “เยาวชนปลดแอก” สน.สำราญราษฎร์ ในข้อหาเดียวกับนายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ความผิดหลายฐาน รวมถึงยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันโฆษณาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกีดขวางการจราจร
ทั้งนี้ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” เป็นบุคคลที่นำป้ายข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ศบค. มาแสดงบริเวณหน้าโรงแรมดีวารี ใน จ.ระยอง ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่ หลังเกิดเหตุการณ์ทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 เข้าพักที่โรงแรมดังกล่าว
ล่าสุด วันนี้ (8 ส.ค.) พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้นำตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ไปขอศาลฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มอีกหลายปาก และรอผลตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธ
ด้านศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ฝากขัง จากนั้น นายคารม พลพรกลาง และนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล 2 ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส. ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ผู้ต้องหาทั้งสองประกันตัวไป โดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้อีก มิฉะนั้นถือว่าผิดสัญญาประกัน
หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นายอานนท์ และนายภาณุพงศ์ ได้ออกมาพบกับมวลชนกลุ่มเยาวชนปลดแอก โดยกล่าวทักทายและขอบคุณที่มาให้กำลังใจ ยืนยันจะไปร่วมการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่จะไม่ไปชุมนุมที่สกายวอร์ค ตามที่กลุ่มมวลชนจะชุมนุมกันในช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง ได้เข้ายื่นเรื่องขอให้สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ลบชื่อนายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และทนายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกจากทะเบียนทนายความ เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดข้อบังคับสภาทนายความฯ จากการปราศรัยที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 3 ส.ค.63 มีเนื้อหายุยง ปลุกปั่น บิดเบือน และล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีนายเกียรติศักดิ์ เหลืองอังกูร อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย และนายปัญญา จารุมาศ เลขานุการคณะกรรมการมรรยาททนายความ เป็นผู้รับเรื่อง
โดยนายอภิวัฒน์ กล่าวว่า เดิมตนได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษนายอานนท์ ที่ สน.สำราญราษฎร์ ไว้แล้ว จากกรณีที่นายอานนท์ ได้ขึ้นปราศรัยล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเคารพของคนไทย การปราศรัยดังกล่าว เป็นการบิดเบือนความจริง หมิ่นประมาท เสียดสี ยุยงปลุกปั่น ก่อให้เกิดความเสียหาย และความชิงชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังผลให้ประเทศเกิดความแตกแยกความสามัคคี ความวุ่นวายปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน “ในฐานะที่นายอานนท์เป็นทนายความ แต่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของวิชาชีพ อีกทั้งสภาทนายความ ก็อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนั้นจึงควรมีมาตรการลงโทษ โดยการลบชื่อนายอานนท์ ออกจากทะเบียนทนายความโดยเร็วที่สุด”
ด้านนายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อรับเรื่องร้องเรียนมา ทางสภาทนายความฯ จะเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากนั้นจะเร่งพิจารณาเป็นการด่วน คาดว่า 1-2 สัปดาห์ จะมีความชัดเจน โดยจะเชิญนายอานนท์มาให้ถ้อยคำในเรื่องนี้ด้วย สำหรับฐานความผิดหนักที่สุด คือการลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ