ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โฉมหน้า ครม. New normal ลุงตู่ 2/2 “ปรีดี-สุพัฒนพงษ์” มาตามนัด แต่งานนี้นายกฯคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริง
ในที่สุด ครม. “ประยุทธ์ 2/2” ก็เผยโฉมออกมาเรียบร้อย โดยอัปเกรดให้ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” เป็นรองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่ง “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” เป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.พลังงาน “อนุชา นาคาศัย” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ปรีดี ดาวฉาย” เป็น รมว.คลัง “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สลับ “สุชาติ ชมกลิ่น” เป็น รมว.แรงงาน และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เป็น รมช.แรงงาน
ภาพรวมหน้าตา ครม.ชุดนี้ ถ้าจะว่าไป ส่วนใหญ่เป็นไปตามโผที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ โดยเป็นคนนอก โควตานายกฯ 2 คน คือ “สุพัฒนพงษ์ กับ ปรีดี” ขณะที่โควตาพรรคพลังประชารัฐ ที่ “ลุงตู่จัด” ให้เพื่อแก้ปัญหาการเมืองภายในของ พปชร. ดันกลุ่ม “วอนนาบี” ทั้ง “เสี่ยแฮงค์” อนุชา และ “เฮ้ง” สุชาติ พ่วง “โฆษกบิ๊กอาย” นฤมล นั่งแรงงาน พอได้ขึ้นชื่อชั้นเป็นเสนาบดี ที่สลับกับ “เอนก” ของพรรคเทพเทือกไปนั่ง อว.แทนโควตาเดิม
เช็กกันดูกันตามรายชื่อ วัดจากกระแสสังคมที่แสดงความเห็นจากโซเชียลฯ ก็ว่า “พอยอมรับได้” โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ การกำกับดูแลขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
การที่ “ลุงตู่” ได้ “ปรีดี ดาวฉาย” อดีตนายแบงก์ ประธานสมาคมธนาคารไทยมานั่ง รมว.คลัง ตอบโจทย์ได้ระดับหนึ่ง เพราะ แม้โดยชื่อชั้นถือว่า เป็นบุคคลที่พอเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในแวดวงธุรกิจ มี ประสบการณ์การทำงานแต่ต้องยอมรับว่าในแวดวงทางการเมืองยังเป็นเครื่องหมายคำถามว่า จะทนแรงเสียดทานกับ เสือสิงห์กระทิงแรด ในการทำหน้าที่ประสานกับกระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ ของพรรคร่วมได้ดีแค่ไหน
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่คาดเดากันว่า เบื้องหลังแต่เดิมที่คาดว่า “ปรีดี” จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น “ตัวหลัก” หัวหน้าทีมคุมเศรษฐกิจ คล้ายๆ “รองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ของชุดที่แล้ว แต่ด้วยตำแหน่งนี้ต้องแบกรับเป็นความหวังและความกดดันสูง เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกกระทรวง
ดังนั้น คนที่จะมานั่งเป็นรองนายกฯ เพื่อดูแลด้านเศรษฐกิจ จึงต้องสามารถบูรณาการการทำงานตรงนี้ให้เป็นเอกภาพและประสานการทำงานร่วมกันให้ได้ กลับเป็น “สุพัฒนพงษ์” ที่เป็นคนใกล้ชิด เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกฯ มานานมานั่งเป็นรองนายกฯแทน ซึ่งก็มีคำถามตามอีกว่า ด้วยโปรไฟล์และประสบการณ์การทำงาน รองฯ “สุพัฒนพงษ์” จะไหวมั้ยงานนี้ ?
ต้องไม่ลืมว่า โจทย์ใหญ่ของประเทศ ขณะนี้คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 รัฐบาลต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อดึงเศรษฐกิจที่ติดลบเกือบๆ 8.5% ให้อย่างน้อยกระเตื้องติดลบน้อยลงอย่างเร่งด่วน ขณะที่มองไปข้างหน้าในเวลานี้ คนตกงาน และ ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยที่ล้มละลาย ปัญหาค่าครองชีพของประชาชน เอาแค่จะขับเคลื่อนอัดฉีดเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ที่ตอนนี้ที่ยังมีการเบิกจ่ายจริงได้น้อยมาก ก็น่าเป็นห่วงจะมีพวก "เสือหิว" รอเทกระจาดในช่วงชุลมุน เร่งสปีดเบิกจ่าย งานนี้ก็จะเป็นงานยาก และท้าทาย ทั้ง “ปรีดี” ขุนคลังคนใหม่ และ “รองฯ สุพัฒนพงษ์”
ส่วนภาคการเมือง การหยิบยื่นตำแหน่ง รมว.ให้ “อนุชา-สุชาติ-นฤมล” ถามว่าคนเหล่านี้พึงพอใจหรือไม่ แน่นอนว่า “สุชาติ และ นฤมล” ถือว่าบรรลุเป้าหมายวอนนาบี แต่สำหรับ “อนุชา” จาก “กลุ่มสองมิตร” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ตรึงอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม ออกตัวแรงมาตั้งแต่ต้น สุดท้ายต้องซดแห้วจากกระทรวงพลังงาน ต้องจับตาดูว่า คำขู่ของ สมศักดิ์ที่ว่าจะมี “อาฟเตอร์ช็อก” ออกมาปั่นป่วนในพรรค พปชร.แน่ จะส่งผลแค่ไหนต่อการทำหน้าที่ของกลุ่มก๊วนทั้งหลาย ซึ่งว่ากันถึงตรงนี้ พปชร. แทบจะไม่ได้ดูแลกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจใดๆ ถ้าเทียบกับพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งภูมิใจไทย และ ประชาธิปัตย์ กลับมีโอกาสที่จะทำผลงาน หาเสียง หาคะแนนได้มากกว่า
คำถามก็คือว่า แล้วที่สู้รบล้มล้างยึดอำนาจกันในพรรคก่อนนี้โดยหาเหตุผลสวยหรูรองรับว่าเพื่อเปลี่ยน พปชร. ให้ดีขึ้น แต่ดูๆ แล้วน่าจะถอยหลังลงคลองเตรียมรอวันสลายตัวมากกว่า
ว่ากันว่า การที่ “ปรีดี” ไม่ได้นั่งควบเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลเศรษฐกิจ หรือ การผลักดัน “สุพัฒนพงษ์” มาเป็นรองนายกฯ แทน มองกันว่า ก็ไม่ต่างกัน และไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาล เพราะถึงอย่างไร นาทีนี้ “ลุงตู่” จะเลือกรัฐมนตรีคนไหนมานั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ทั้งนั่น ดูอย่างกรณีของ “ดอน” เป็นต้น เพราะสุดท้ายแล้ว นายกรัฐมนตรี ลงมากำกับดูเองอย่างไม่ต้องสงสัย
“ลุงตู่” วันนี้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
งานนี้ผู้โดยสารโปรดทราบ กรุณานั่งรัดเข็มขัดอยู่กับที่ รอดูกัปตันตู่ กู้เศรษฐกิจกันให้ดีๆ
**ลุ้นไปกับ “รสนา”!! เปิดรายงานการศึกษาของ กมธ.กฎหมายฯ สนช. ที่เป็นจุดเริ่มต้น และจุดเปลี่ยน “คดีบอส ” จากฟ้อง เป็นไม่ฟ้อง...จน ”ลุงตู่” อึดอัด เหลืออด ประกาศลั่น ผมไม่โอเค !!
จุดเปลี่ยนคดี “บอส กระทิงแดง” ข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จากเดิมที่อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งฟ้องคดีไปแล้ว แต่มาถูก “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด กลับคำสั่งเป็น “ไม่ฟ้อง” มีจุดเริ่มต้นมาจาก คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี “น้องบิ๊กป้อม” พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ได้รับเรื่องร้องขอความเป็นธรรม จาก “ทนายบอส” ไว้พิจารณา
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ได้มีการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการไปหลายครั้งแล้ว มีการอ้างถึงข้อมูลใหม่หลายประการ รวมทั้งยกเอาเรื่องความเร็วรถ จากสำนวนเดิม 177 กม./ชม. เปลี่ยนมาเป็นไม่เกิน 80 กม./ชม. แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้น (ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ก็สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม
กระทั่งมีการร้องมายัง “กมธ.กฎหมาย สนช.” และมีการรับเรื่องไว้ศึกษา พิจารณา จากนั้นก็ส่งผลการศึกษากลับไปยังอัยการ และ ทางอัยการก็ส่งเรื่องให้ตำรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่ม... จึงได้มีพยานใหม่ 2 คนโผล่ขึ้นมาคือ “พล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร” และ “จารุชาติ มาดทอง” ที่ให้การว่า “ดาบตำรวจ” ขับรถปาดหน้า ขณะที่รถของ “บอส” ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ตามกฎหมายกำหนด สุดท้ายอัยการจึงไม่คำสั่ง “ไม่ฟ้องคดี” ในที่สุด
ที่น่าสนใจคือ ระหว่างการพิจารณาของ กมธ.กฎหมายฯ สนช.นั้น “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร” ส.ว. และ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะ กมธ.กฎหมายฯ สนช. ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า... กมธ.มีความเห็นตรงกันเกือบทั้งคณะ ไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ไม่เคยมีความเห็นใดๆ ในทางคดี...ผมที่เป็น ผบช.น. ตอนนั้น ก็ยอมไม่ได้ ผมก็บอกในที่ประชุมกมธ. อย่าไปฟังนักวิชาการบ้าบอ ที่อาจอุปโลกน์มา เรื่องนี้มันเสียหาย...ผมอยู่ในห้องประชุมกมธ. ถามจริงๆ ส.ว. สนช. จะไปสั่งอัยการ สั่งตำรวจได้หรือ ใครไปทำก็นอกเหนือรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ กมธ.คุยกันวันเดียวก็จบแล้ว คือไม่เอาด้วย...พูดง่ายๆว่าเรื่องนี้ กมธ.ไดีตีตกไปแล้ว !!
วันรุ่งขึ้น “ธานี อ่อนละเอียด” มือกฎหมาย ในฐานะเลขานุการ กมธ.กฎหมายฯ สนช. ก็ออกมาโต้ “พล.ต.ท.ศานิตย์” ว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะสนช.มีงานเยอะ พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงอาจสับสนได้ !!
ดังนั้นในระหว่างสองคนนี้ คงต้องมีใครสักคนที่ “พูดไม่จริง”!!
เพื่อความกระจ่าง “รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว. จึงได้ไปยื่นหนังสือถึง “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา เพื่อขอเอกสารรายงานบันทึกการประชุม ผลการศึกษา และ หนังสือนำส่งอัยการของ กมธ.กฎหมายฯ สนช. เพื่อมาตรวจสอบว่าในการพิจารณาของ กมธ.นั้น ใครแสดงความเห็นอย่างไรบ้าง และที่ประชุมมีมติอย่างไร ... ถูก “ตีตก” หรือให้ศึกษาแล้วนำผลสรุปส่งอัยการ ...ซึ่งในความเป็นจริงที่รับรู้กันในขณะนี้คือ กมธ.ได้ส่งรายงานการร้องขอความเป็นธรรมไปให้อัยการ...จึงต้องมาดูกันว่า “ใครเป็นผู้ลงนาม” ในการส่งผลการศึกษาดังกล่าวไป
ซึ่งเอกสารที่ “รสนา” ขอไปนั้นขอไปเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ต่อมา วันที่ 3 ส.ค. ก็ได้รับการติดต่อจาก เลขาฯประธานรัฐสภาว่าท่านประธานฯ อนุญาตให้มอบเอกสารให้ตามที่ร้องขอ มีกำหนดรับในวันนี้ (7 ส.ค.)
ก็ต้องมารอลุ้นกันว่า วันนี้ “รสนา” จะได้รับเอกสารดังกล่าวหรือไม่ ... หากได้รับข้อสงสัยที่ยกมาข้างต้นก็จะกระจ่าง !!
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องนี้มีผลทางกฎหมายต่อ กมธ.กฎหมาย สนช. ไม่ว่าจะถูกตีตก หรือ มีมติให้ส่งผลการศึกษาไปให้อัยการ โดยเฉพาะผู้ที่ลงนามในการส่งรายงานการศึกษานี้
เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว อัยการเป็นองค์กรอิสระ ดุลพินิจในการสั่งคดี ไม่มีใครมาแทรกแซงได้ และคำสั่งคดีของอัยการถือว่าสิ้นสุด เด็ดขาด!!
แต่สำหรับกรณีนี้ มีประเด็นข้อกฎหมายที่น่าพิจารณาว่า กมธ.ไม่ใช่คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสีย ที่จะร้องขอความเป็นธรรมในคดีนี้ เพราะระเบียบการขอความเป็นธรรม เป็นเรื่องของคู่กรณี และผู้มีส่วนได้เสียเท่านั้น
อีกทั้งคดีนี้ เคยมีการร้องขอความเป็นธรรม ต่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 6 ครั้งแล้ว ซึ่งอัยการก็ได้รับฟังจนเป็นที่ยุติไปแล้วว่าไม่กลับคำสั่งฟ้องคดี อีกทั้ง “ร.ต.ต พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร” อัยการสูงสุดในขณะนั้นก็ได้สั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว ทำไม กมธ.กฎหมายฯ สนช. จึงยังร้องขอความเป็นธรรมได้อีก และมีผลต่อเนื่องจนสุดท้ายอัยการกลับคำสั่งเป็น “ไม่ฟ้อง” !!
หาก “คดีบอส กระทิงแดง” จบไปในลักษณะนี้ ... ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ “องค์กรอัยการ” หรือ “ตำรวจ” เท่านั้น แต่มีผลกระทบไปถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด โดยเฉพาะ “ภาพโดยรวมของประเทศ” ที่ขณะนี้ต่างชาติเขามองว่า บ้านนี้เมืองนี้ กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเสียเอง... การทุจริต คอร์รัปชัน การใช้อำนาจไม่เป็นธรรม มีอยู่ทุกที่ ผู้บริหารประเทศก็เหมือนหลับตาข้างหนึ่ง ...ปล่อยให้ผ่านไป
“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็คงรับรู้ และตระหนักในปัญหาภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จึงถือโอกาสพูด “แสดงจุดยืน” ถึงคดีนี้ ต่อหน้า นักธุรกิจ และคณะทูตานุทูต ในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ว่า... “ผมไม่โอเค กับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมจะผลักดัน และผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระ และประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้และความเป็นกลาง และพร้อมที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ คดีนี้ถือเป็นอีกคดี ในอีกหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทย เป็นคดีที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่าง สร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป”
เมื่อ “ลุงตู่” ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนเช่นนี้...เราๆ ท่านๆ ในฐานะประชาชน พลเมืองก็ได้แต่เอาใจช่วย และรอดูว่าสุดท้ายผลสรุป จะเป็นเช่นไร !!