ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จับพิรุธ “ธานี” ที่ว่า รธน.เปิดช่อง และญาติดาบวิเชียรไม่มาร้อง กมธ.เอง จิ๊กซอว์พลิกคดีบอส สวนทาง“ศานิตย์” ย้อนแย้ง กมธ.ไม่รับ ขณะที่ สิระ โชว์เฮ้าเลี่ยน ขู่เรียกบอสมาชี้แจง แทนที่จะเรียกน้องบิ๊กป้อม-ธานี และ ทนายกระทิงแดงมากกว่า
กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ลูกชายผู้บริหารเจ้าของอาณาจักรกระทิงแดง ธุรกิจเครื่องดื่มแสนล้านอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย จากเหตุขับรถชนนายดาบตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เป็นเรื่องที่สังคมติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปมคดีที่พลิกหน้ามิอเป็นหลังมือนั้น มีวิชามารเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร
แน่นอนว่า ถ้าพูดถึง “จุดเปลี่ยน” และเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่นำมาสู่การที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง สปอตไลต์ต้องส่องไปที่คณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช.ยุค คสช. ที่มี “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ” สมาชิกวุฒิสภา น้องชาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งเป็นประธาน
แม้ว่า “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร” จะดันหลัง “ธานี อ่อนละเอียด” เลขานุการ กมธ. เพราะเชื่อว่าเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายอาญา มีคอนเนกชันแน่นปึ้กกับทั้ง อัยการ ตำรวจ และเพื่อนทนายด้วยกันมาโต้แย้ง แต่ก็ต้องบอกว่า คำพูดที่ว่า ....รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้เพราะ…“การดำเนินการของ กมธ. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2557 ม.13 วรรคสอง และข้อบังคับการประชุม สนช. ที่ให้ สนช.ทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน และส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เรามีหน้าที่เพียงสอบหา ไม่ใช่สอบสวน”
... กับอีกประเด็นที่คาใจ กมธ.ชุดนี้เลือกที่จะรับพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับ “บอส” แต่กับฝ่าย “นายดาบ” ผู้เคราะห์ร้าย กมธ.ใม่สนใจจะรับฟัง ...ฟังจาก “ธานี” ที่ชี้แจงว่า “ผู้เสียหายไม่ได้ร้องมาที่ สนช. และจากบันทึกของตำรวจ “บอส” วรยุทธ ได้เยียวยาให้กับครอบครัวผู้ตายไปแล้ว อีกทั้งญาติก็ไม่ได้ร้องว่าไม่ได้รับเงินเยียวยา ถามว่าจะให้สอบประเด็นอะไร”
นี่หรือเป็นคำพูดของ กมธ .ที่ควรจะพูด แต่มองอีกมุมหนึ่งก็ชัดเจนว่า นี่คือ “จิ๊กชอว์” ที่ต่อให้สังคมเห็นว่า กมธ.เป็นจุดที่น่าสงสัยที่สุด !!
ที่บอกว่า น่าสงสัยก็เพราะก่อนหน้าที่ “ธานี อ่อนละเอียด” จะออกมาแถลงข่าวนั้น “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร” ส.ว. และอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะที่เคยนั่ง กมธ.กฎหมายฯ ชุดเดียวกับ “ธานี” ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า... กมธ.มีความเห็นตรงกันเกือบทั้งคณะ ไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ไม่เคยมีความเห็นใดๆ ในทางคดี...ผมที่เป็น ผบช.น. ตอนนั้น ก็ยอมไม่ได้ ผมก็บอกในที่ประชุม กมธ. อย่าไปฟังนักวิชาการบ้าบอ ที่อาจอุปโลกน์มา เรื่องนี้มันเสียหาย...ผมอยู่ในห้องประชุม กมธ. ถามจริงๆ ส.ว. สนช. จะไปสั่งอัยการ สั่งตำรวจได้หรือ ใครไปทำก็นอกเหนือรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ กมธ.คุยกันวันเดียวก็จบแล้ว คือไม่เอาด้วย...
ช่างย้อนแย้งกับสิ่งที่ “ธานี” ออกมาพูดทั้งๆ ที่เป็น กมธ.ชุดเดียวกัน ...แต่ “ธานี” ก็ออกมาโต้ว่า ที่ “พล.ต.ท.ศานิตย์” บอกว่า ในชั้น กมธ.ได้ตีตกเรื่องนี้ไปแล้วนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะ สนช. มีงานเยอะ พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงอาจสับสนได้ !!
ดังนั้น เรื่องนี้คงต้องมีใครสักคน “พูดไม่จริง”
ถ้าจะให้ชัดเจนก็พิสูจน์กันได้ไม่ยาก แค่ไปเอาหลักฐานบันทึกการประชุมออกมาตีแผ่ว่า ... ตกลงคณะ กมธ. มีมติรับ หรือไม่รับข้อร้องเรียน และมีมติรับหรือไม่รับ ผลการศึกษาในการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในคดีนี้หรือไม่ ด้วยคะแนนเสียงเท่าไร ใครโหวตอย่างไร...และถ้าไม่มีมติ กมธ. การส่งผลการศึกษาคดี “บอส อยู่วิทยา” ใครเป็นคนลงนามส่ง ผลรายงานผลการศึกษาดังกล่าวไปให้อัยการ และตำรวจ !!
ขณะที่สังคมกำลังให้ความสนใจกับเรื่องนี้ และกำลังรอผลสอบจากคณะกรรมการที่หลายๆ ฝ่ายตั้งขึ้น ทั้งนายกฯ ตำรวจ อัยการ ในส่วนของสภาฯ ก็มีทั้ง กมธ.วุฒิสภา และสภาผู้แทนฯ...โดยเฉพาะ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พลังประชารัฐ ที่เพิ่งขึ้นเป็น ประธาน กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯ ก็ออกอาการ “เฮ้าเลี่ยน” กว่าใคร แถลงข่าวรายวันว่าวันที่ 5 ส.ค.นี้ จะเรียกทั้ง ตำรวจ อัยการ ผบ.ตร. รวมทั้ง “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา และทนายที่ทำคดีบอส มาชี้แจงเพื่อทำคดีนี้ให้กระจ่าง ...แถมย้ำว่าหาก “บอส” และทนายไม่มาชี้แจง จะเรียกเป็นครั้งที่ 2 ถ้ายังไม่มาอีกก็จะออกคำสั่งเรียกตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียก... แต่ถ้าไม่มาอีกก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียก
ฟังแล้วก็รู้สึกว่า การเรียกคนอื่นๆ นั้นไม่เท่าไร แต่การเรียก “บอส” จะให้มาชี้แจงให้ได้ ทั้งที่ “บอส” เผ่นไปอยู่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงมุมไหนของโลก การขู่ว่าจะดำเนินคดี ก็คงไม่ช่วยให้เรื่องกระจ่างขึ้นมาได้
ทั้งที่คนสำคัญที่ควรเรียกให้มาชี้แจงให้ได้ คือ “น้องบิ๊กป้อม” ที่เป็นประธาน กมธ.กฎหมายฯ สนช. และ “ธานี อ่อนละเอียด” เลขานุการ กมธ.กฎหมายฯ สนช. เพราะเป็นต้นเรื่อง ที่ทำให้อัยการต้องสั่งตำรวจให้ไปสอบสวนเพิ่มเติม จนทำให้มีข้อมูลใหม่ “บอส” ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อ ชม. และมีพยานโผล่มาอีก 2 คน คือ พล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง ที่ให้การว่า “ดาบวิเชียร” ประมาท ขี่รถจักรยานยนต์ไปปาดหน้ารถ “บอส” จนเกิดเหตุสุดวิสัย ...คนเหล่านี้ต่างหากที่ต้องเรียกมาชี้แจง
หรือเป็นเพราะเกรงว่าหากเรียกคนเหล่านี้มาชี้แจงแล้ว จะถูกซักถามจน “หลุด” สุดท้ายประชาชนจะเห็นภาพว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการเป่าคดี !!
** โซเชียลฯ วิจารณ์แซด“จารุชาติ มาดทอง” พยานปากสำคัญที่พลิกคดี “บอส กระทิงแดง” อยู่ถึงเชียงราย มีอาชีพรับจ้าง ก่อสร้าง มารู้จักและนั่งรถคันเดียวกับ “พล.อ.ท.จักกฤช” เจ้าของธุรกิจรถลีมูซีนได้อย่างไร แถมมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในช่วงนี้เสียด้วย เป็นเหตุบังเอิญ หรือมีเงื่อนงำ !!
“”ขณะที่คดี “บอส” พลิก เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง หลังจากมี “ข้อมูลใหม่” ต่างไปจากสำนวนเดิม ที่บอกว่า “บอส” ขับรถด้วยความเร็ว 177 กม./ชม. มาเป็นความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. และจากที่ระบุว่า “บอส กระทิงแดง, ดาบวิเชียร” และ “บอส” ประมาทร่วม มาเป็นดาบวิเชียรประมาทคนเดียว เมื่อพยานในที่เกิดเหตุคืนนั้น คือ “พล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร” และ “จารุชาติ มาดทอง” ให้การว่า ขับรถตามหลังดาบวิเชียร มาด้วยความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. จู่ๆ ดาบวิเชียร ก็ขับรถเปลี่ยนเลนมาจากเลน 1 คือ เลนซ้ายสุด ปาดเข้ามาเลนที่ 2 แต่พยานหักรถหลบทัน จากนั้นดาบวิเชียรก็ปาดเข้าไปเลนที่ 3 ซึ่งอยู่ติดกับเกาะกลางถนน ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ “บอส” ขับรถมาในเลนนั้นพอดีจึง “เกิดเหตุสุดวิสัย”
“บอส” ไม่ได้ขับรถโดยประมาท เพราะขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ตามที่กฎหมายกำหนด ...สรุปว่าดาบวิเชียร ประมาทฝ่ายเดียว
ประเด็นพยานใหม่นี้ สังคมมีข้อกังขามาก เพราะเวลาผ่านไป 7 ปี หลังเกิดเหตุ แต่พยานคู่นี้เพิ่งโผล่มาให้การ หลังจากที่อัยการสั่งให้ตำรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่ม และคาดว่า คณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ชุดต่างที่ตั้งกันขึ้นมาในช่วงนี้ คงต้องมีการเรียกพยานปากสำคัญนี้ไปชี้แจงเพื่อความกระจ่าง
แต่ก็ให้บังเอิญ ที่ หนึ่งในสองพยาน คือ “จารุชาติ มาดทอง” ต้องมาประสบอุบัติ เสียชีวิตพอดี
ตามรายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 30 ก.ค.นี้เอง “จารุชาติ” ขี่รถจักรยานยนต์ ไปเฉี่ยวชนกับคู่กรณี ที่ถนนห้วยแก้ว ต.สุเทพ อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ แล้วไปเสียชีวิตที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่
นางตา วังมูล แม่ของ “จารุชาติ” ที่มีบ้านอยู่ที่ บ้านวังชมภู ต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย บอกว่า มีลูก 3 คน จารุชาติเป็นลูกชายคนโต น้องสาวอีก 2 คนทำงานอยู่เกาหลีใต้ และบาห์เรน “จารุชาติ” เรียนจบ ป. 4 เลิกกับภรรยาไปตั้งแต่ลูกสาวอายุได้เพียง 8 เดือน และจากนั้นก็ออกไปทำงานนอกบ้าน เกี่ยวกับงานก่อสร้าง นานๆจะกลับมาบ้านสักครั้ง และก็ไม่ค่อยโทรศัพท์ ติดต่อมาทางบ้าน
“ฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าลูกชายเข้าไปเป็นพยานในคดีนี้ เมื่อคืนวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง เพราะเห็นมีชื่อในข่าว แต่ก็มีเพียงชื่อ ไม่มีนามสกุล ก็ไม่ได้สนใจ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นลูกฉัน กระทั่งเกิดอุบัติเหตุที่ จ.เชียงใหม่ และมีคนบอกมาว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว และเป็นคนเดียวกับที่มีชื่อเป็นพยานคดีนี้ด้วย”
เมื่อข่าวการเสียชีวิตของพยานสำคัญคนนี้เผยแพร่ออกไป สังคมโซเชียลฯ ก็ตั้งคำถามด้วยความสงสัยว่า “จารุชาติ” ที่มีอาชีพรับจ้าง เป็นคนงานก่อสร้าง มารู้จัก และนั่งรถคันเดียวกับ “พล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร” นายพลทหารอากาศ มีธุรกิจรถลีมูซีน ให้บริการที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ได้อย่างไร
ที่สำคัญ เป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ ที่มาเสียชีวิตเอาในช่วงนี้พอดี !!