ช่วงที่รัฐบาลปักกิ่งประกาศล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่น เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เข้มข้นในการดำเนินการถอดถอนปธน.ทรัมป์จากรัฐสภา
จนกระทั่งวุฒิสภาไม่ถอดถอนทรัมป์ และทรัมป์ได้เดินทางไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างคะแนนนิยมจากชาวอินเดียในสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มคะแนนนิยมในตัวทรัมป์ในการเลือกตั้งปลายปีนี้
หลังเดินทางกลับมาสหรัฐฯ แม้มีคนอเมริกันตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 แค่ 15 คนในเดือนกุมภาพันธ์ และทรัมป์ได้พูดอย่างมั่นใจว่า เชื้อโคโรนาไวรัส (ซึ่งขณะนั้น-ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะตั้งชื่อโควิด-19) จะไม่ระบาดในสหรัฐฯ เพราะการแพทย์และการเตรียมการของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของเขา ทำได้ดีมากๆ จนไม่น่าห่วงใยอะไรทั้งสิ้น และผู้ติดเชื้อ 15 คนนี้ จะหายได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะที่รัฐนิวยอร์กที่มีผู้เดินทางจากยุโรปมาเข้าเมืองที่นั่น และทรัมป์เองก็ยังดูชื่นชมปธน.สี ว่าจะสามารถจัดการกับโรคระบาดใหม่นี้อย่างง่ายดาย
เวลาผ่านมา 5 เดือน ตัวเลขคนอเมริกันที่ติดเชื้อโควิด-19 และตายลง ได้เพิ่มเป็น 1 แสน 5 หมื่นคนเมื่อสองอาทิตย์มานี้เอง และเกิดขึ้นเพราะทรัมป์ไม่มีนโยบายรับมือกับโรคนี้อย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าเขาได้ทุ่มเทเพื่อรับมือทันการ ตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายน คุณหมอเฟาซี และแพทย์ด้านโรคระบาดได้เร่งรัดให้ทำเนียบขาวเตรียมการทั้งอุปกรณ์รับมือ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ต้องมีพร้อม และที่สำคัญคือ นโยบายแห่งชาติที่จะทำสงครามกับโรคระบาดใหม่ร้ายแรงนี้
คุณหมอเฟาซี และหมอชั้นนำด้านโรคระบาดแทบทุกคนต่างลงความเห็นว่า จำนวนคนตายจะไม่สูงเป็นแสนคน ถ้ามีนโยบายแห่งชาติที่พร้อมเพรียง เช่น การล็อกดาวน์ และทำงานอยู่บ้านในระยะแรกของการระบาด รวมทั้งการรักษาระยะห่าง, การใช้ยาฆ่าเชื้อล้างมือ และที่สำคัญคือ การตรวจเชื้อและติดตาม (Tracing) ผู้สัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเพื่อกักตัว 14 วันอย่างที่ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลกออกมาแนะนำว่า Test-Test-Test และ Test-Trace-Treat
สำหรับทรัมป์แล้ว เขาหายใจเข้าออกเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว ซึ่งการทำงานอยู่บ้านและล็อกดาวน์จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน แม้แต่การใส่หน้ากากก็ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เตือนผู้คนไม่ให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญใช้จ่ายเต็มที่ เขาจึงปฏิเสธไม่ยอมออกนโยบายสวมหน้ากาก แม้ยอดคนตายจะเข้าใกล้ 1 แสนคนแล้วก็ตาม
เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าเศรษฐกิจไม่เติบโตจะกระทบต่อจุดแข็งของเขาในการลงเลือกตั้งรอบ 2 เพราะเขาตอกย้ำตลอดเวลาว่า เขาทำเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ดียิ่งกว่าปธน.คนใดๆ (ทั้งๆ ที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยจากแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส ปี 2008-09 ได้รับการแก้ไขจากทีมเศรษฐกิจของโอบามา-จากการจ้างงานและเศรษฐกิจได้เริ่มตั้งลำในการเติบโตอย่างดีมาแล้ว จนทรัมป์เข้ามารับไม้ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตสุดๆ นั่นเอง)
รัฐนิวยอร์กมีการใช้นโยบายเข้มข้นทำสงครามกับโควิด-19 รวมทั้งอีก 2 รัฐใกล้เคียง คือ นิวเจอร์ซี และคอนเนตทิคัต ก็ร่วมมือกันปรากฏตัวเลขทั้งการติดเชื้อ และคนตายจากโควิดเริ่มลดลง จนทั้ง 3 รัฐก็เริ่มค่อยๆ ทยอยเปิดเมือง ในขณะที่ hot spot กลับไปอยู่ที่รัฐทางตอนใต้ที่ผู้ว่าเป็นรีพับลิกัน และหละหลวมมากในการรับมือกับการระบาด ได้แก่ ฟลอริดา เทกซัส แอริโซนา ซึ่งผู้ว่าฯ พยายามเอาใจทรัมป์ในการเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการรักษาชีวิตคน (ที่จะติดโรคระบาด)
ในที่สุด สหรัฐฯ ก็รักษาแชมป์ในยอดคนติดเชื้อรวมใกล้ 5 ล้านคน และยอดคนตายก็ทะลุ 1 แสน 5 หมื่น ซึ่งเป็นตัวเลขคนตายที่สูงกว่าทหารอเมริกันที่ตายในสงครามเวียดนาม (58,000 คน) และในสงครามบุกอิรัก (ที่ 5 พันคน)
พอยอดคนตายด้วยโควิด-19 สูงถึง 1 แสน 5 หมื่นคน คนอเมริกันและทั่วโลกก็ต้องตกตะลึงกับคำสั่งของทรัมป์และรมต.ต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ ให้ปิดสถานกงสุลจีน (ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯ) ที่เมืองฮุสตัน ด้วยข้อกล่าวหาว่า มีเจ้าหน้าที่บางคนให้ข้อมูลเท็จในการขอวีซ่าเข้าเมืองสหรัฐฯ โดยมีการกระทำในการแอบสืบราชการลับอันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
รมต.ปอมเปโอ ถึงกับสำทับว่า น่าจะมีการทยอยปิดสถานกงกุลจีนที่อื่นๆ ด้วยเป็นลำดับต่อๆ ไป เพราะมีเจ้าหน้าที่จีนที่แอบสืบราชการลับ โดยข่าวนี้เกิดขึ้นหลังทางการสหรัฐฯ จับคนจีนนักวิจัยในสหรัฐฯ ด้วย 2-3 คน เพื่อขึ้นฟ้องศาลด้วยข้อหาฉกรรจ์นี้
การปิดสถานกงสุลจีนนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก่อน ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองชั้นนำของสหรัฐฯ ลงความเห็นว่า เป็นฝีมือนักกลบข่าวมือฉกาจอย่างทรัมป์ที่เคยทำมาหลายครั้งตลอด 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ทรัมป์ไม่เคยกล่าวถึง (ในการแถลงข่าว) ตัวเลขคนตาย 150,000 นี้เลย เพื่อให้ข่าวใหญ่ระดับโลกเรื่องปิดสถานกงสุลจีนได้กลบข่าวที่บั่นทอนคะแนนนิยมของเขา
และถ้าเขาจนมุมจริงๆ ในการถูกถามอย่างดุเดือดจากผู้สื่อข่าวว่า เขาคิดอย่างไรต่อยอดคนตายสูงสุดในโลกขณะนี้ เขาก็จะบิด (นอกจากเป็นนักกลบแล้ว ยังเป็นนักบิดด้วย) ว่า อเมริกาจัดการกับโควิด-19 ดีที่สุดในโลก เพราะสามารถทำให้ตัวเลขคนตายไม่สูงถึงเป็นล้านคน! เพราะเขาจัดการได้ดีเยี่ยมนั่นเอง
และเมื่อ 2-3 วันนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ก็ดิ่งถึงติดลบเกือบ 33% (เมื่อเทียบกับ Q2 ปีที่แล้ว)
ไม่ถึง 24 ชม.หลังจากตัวเลขนี้ออกมาจากกระทรวงพาณิชย์ ก็มีทวีตของเขาออกมา ซึ่งทำให้คนอเมริกันต้องตะลึงอีกครั้ง
เขาพูดอย่างมั่นใจว่า การเลือกตั้งปธน.ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 90 วันนี้ ในวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน คงจะต้องเลื่อนไปแน่นอน เพราะการระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การลงคะแนนที่คูหาเลือกตั้งเริ่มเป็นปัญหาในแทบทุกรัฐ ที่เกรงว่าความแออัดของผู้มาลงคะแนนในวันนั้น จะยิ่งทำให้โรคระบาดยิ่งขึ้น (ยิ่งเป็นช่วงที่นักระบาดวิทยาหลายสำนักในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การระบาดระลอกที่สองน่าจะเกิดขึ้น จากอุณหภูมิที่เย็นลง และเป็นช่วงที่สอดคล้องกับโรคหวัดใหญ่ Flu ผู้คนจะยิ่งติดโควิด-19 อย่างมโหฬาร-ประกอบกับเป็นช่วงเปิดการศึกษาของโรงเรียน และวิทยาลัยต่างๆ อย่างเต็มที่ด้วย)
ในหลายๆ รัฐที่มีผู้ว่าฯ ส่วนใหญ่เป็นเดโมแครต และบางรัฐที่ผู้ว่าฯ เป็นรีพับลิกัน ได้ออกประกาศให้มีการลงคะแนนส่งทางเมลแทนการมาแออัดที่คูหาเลือกตั้ง บางรัฐออกคำสั่งให้มี mail-in ballot ถึง 100% ทีเดียว
ทรัมป์ฉวยโอกาสที่มีคำสั่งเหล่านี้ออกมาจากรัฐต่างๆ โดยออกมาพูดกับฐานเสียงของเขาว่า การใช้ mail-in ballot มากๆ จะเปิดทางให้มีการโกงการเลือกตั้ง (คล้ายๆ จะมีคะแนนปลอมเกิดขึ้นมากมาย) ทั้งๆ ที่ในการเลือกตั้งทุกตำแหน่งทุกครั้งที่สหรัฐฯ จะเปิดให้ผู้ลงคะแนนเลือกตั้งจะส่งใบลงคะแนนทางเมลมาเสมอ โดยทางการไปรษณีย์ของสหรัฐฯ ก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมมาตลอด และมีระบบรัดกุมมากๆ จนไม่เคยมีข้อกล่าวหาใบลงคะแนนปลอมเกิดขึ้นมาเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว
ทรัมป์จึงพยายามชี้นำว่า จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งปธน. (จนกว่าจะค้นพบวัคซีนได้ แล้วจึงจะให้มีการเลือกตั้งหย่อนบัตรที่คูหาได้ เป็นต้น)
ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่า จะต้องเป็นวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน และทำกันมาแล้วเกือบ 250 ปี ไม่เคยมีเลื่อนเลย ไม่ว่าจะผ่านทั้งสงครามกลางเมือง สงครามโลกทั้งสองครั้ง รวมทั้งการระบาดโรคใหญ่ๆ ที่สหรัฐฯ เคยผ่านมาด้วย
ข่าวทรัมป์เสนอเลื่อนวันที่เลือกตั้ง ก็เพื่อกลบตัวเลขเศรษฐกิจที่เลวร้ายยิ่งของสหรัฐฯ นั่นเอง
แต่ก็เริ่มมีสัญญาณจาก ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันที่ออกมาชนกับทรัมป์ว่า ไม่น่าเลื่อนเพราะเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันเหล่านี้คงกลัวว่า ตัวเองถ้าตามทรัมป์มากๆ ก็อาจดึงคะแนนและอาจไม่ได้กลับเข้าสภา
นำโดยผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสภา Mitch McConnell ที่พูดว่า ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันมีสิทธิคิดต่างจากทรัมป์ได้ เสมือนเริ่มเปิดทางให้กระโดดหนีออกจากเรือทรัมป์ (Jump Ship) มิฉะนั้นอาจจะต้องจมน้ำตายไปกับเรือทรัมป์นั่นเอง!