xs
xsm
sm
md
lg

สยอง! ‘แคลิฟอร์เนีย’ ทุบสถิติ ‘นิวยอร์ก’ ขึ้นแท่นมีผู้ป่วยโควิด-19 มากที่สุดในสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาเดินเล่นที่ท่าเรือริมชายหาดในเมืองโอเชียนไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ทว่ามีน้อยคนที่สวมหน้ากาก
รอยเตอร์ - รัฐแคลิฟอร์เนียมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สะสมกว่า 421,000 คน ในวันพุธ (22 ก.ค.) ทำลายสถิติของรัฐนิวยอร์กขึ้นสู่อันดับ 1 ของประเทศ ในขณะที่ผู้ติดเชื้อรายวันก็ทำสถิติสูงสุดกว่า 12,000 คน ในรอบ 24 ชั่วโมง

แคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในอเมริกาแถลงยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ 12,112 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 159 ราย เมื่อวานนี้ (22) ซึ่งทำให้จำนวนผู้ป่วยสะสมพุ่งสูงกว่า 421,000 คน ซึ่งหากเป็นประเทศก็จะอยู่ในลำดับที่ 5 ของโลกรองจากสหรัฐฯ, บราซิล, อินเดีย และรัสเซีย

สำหรับรัฐนิวยอร์กยังคงครองสถิติมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงที่สุดกว่า 32,000 คน ขณะที่แคลิฟอร์เนียยังอยู่ที่ราวๆ 8,000 คน ส่วนยอดผู้ป่วยสะสมของนิวยอร์กเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 413,500 คน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 700 คน ในเดือน ก.ค. ขณะที่แคลิฟอร์เนียพบผู้ป่วยเพิ่มโดยเฉลี่ยวันละ 8,300 คน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ย้ำว่า การเปรียบเทียบตัวเลขจะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียมีประชากรเกือบ 40 ล้านคน หรือกว่า 2 เท่าของรัฐนิวยอร์ก

ดร.มาร์ก กาลีย์ เลขาธิการสำนักงานสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุเมื่อวันอังคาร (21) ว่า เคสใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการติดตามบุคคลใกล้ชิดเพื่อแกะรอยเส้นทางการแพร่กระจายของเชื้อในชุมชนยิ่งเป็นเรื่องยาก

เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุวานนี้ (22) ว่า การเปิดภาคส่วนซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น

“ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากเราเริ่มเปิดเศรษฐกิจบางส่วน ผู้คนออกมาใช้ชีวิตปะปนกัน จึงอาจมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว” เขาให้สัมภาษณ์

หลังจากถูกไวรัสโจมตีอย่างหนักหน่วงเมื่อช่วงต้นปี ล่าสุด รัฐนิวยอร์กเริ่มประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด โดยมีผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลต่ำสุดในรอบ 4 เดือน เมื่อวันจันทร์ (20) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเพียง 2 รายในวันอังคาร (21)

โควิด-19 คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วเกือบ 143,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น