ลมกระโชกทางการเมืองแปรปรวนไม่หยุดนับตั้งแต่ประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ นับนานเนิ่นมานี้เกือบ 2 ทศวรรษแล้ว หมอกเมฆดำยังคงปกคลุมไปทั่วบรรยากาศ ปวงชนแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย เพราะมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน
แม้จะเปลี่ยนตัวจากทักษิณเป็นลิ่วล้อคนแล้วคนเล่า มาถึงน้องสาวหญิงงามขึ้นครองอำนาจ ณ เวลานั้นมีชายชาติทหารสูงล่ำบึกบึนเดินเคียงข้างชายตาชม้อยชม้ายสอดรับกันด้วยท่วงจังหวะท่าทีราวกับการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวแรกผลิ
แม้สัมพันธ์จะแนบแน่นชิดเชื้อ แต่ความแตกแยกของประชาชนที่ออกมาก่อหวอดชุมนุมประท้วงต่อต้านนิรโทษกรรมสุดซอยและปฏิรูปประเทศจนวุ่นวายระส่ำระสาย ก็ทำให้ชายชาติทหารต้องเปลี่ยนใจลุกขึ้นมายึดอำนาจรัฐบาลหญิงงามในที่สุด
จากนั้นก็ปล่อยให้เธอเดินลอดช่องทางธรรมชาติออกไปใช้ชีวิตในต่างแดนร่วมกับพี่ชายแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
บรรยากาศทางการเมืองสงบราบคาบลง ด้วยอำนาจจากปากกระบอกปืนของนายทหารที่รวมตัวเข้ายึดอำนาจ ก่อนที่หัวหน้าคณะรัฐประหารนาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสถาปนาตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี
บ้านเมืองสงบลงชั่วคราวกลุ่มมวลชนหลากหลายกลุ่มเก็บตัวเงียบงำไม่กล้าออกมาด้วยกำปั้นเหล็ก รัฐบาลที่ถืออำนาจเด็ดขาดเป็นทั้งฝ่ายบริหารนิติบัญญัติและตุลาการในตัวเอง เพราะมีมาตรา 44 ที่ทำให้เหาะเหินไปถึงชั้นฟ้าและดิ่งด่ำสู่ใต้มหาสมุทรได้ สร้างความปลาบปลื้มให้มวลชนที่หวาดกลัวระบอบทักษิณราวกับการค้นพบเทพอารักษ์องค์ใหม่
แต่แทนที่เทพจะอารักษ์ปกป้องผองชน กลายเป็นผองชนทำตัวเป็นเกราะห่อหุ้มเทพเอาไว้ ด้วยความรักหวงแหนคอยปกป้องการกล้ำกรายจากฝ่ายตรงข้ามที่คอยหาเรื่องให้มัวหมอง
แม้การทำรัฐประหารจะบอกว่าเพื่อยับยั้งความแตกแยก แต่แท้จริงความแตกแยกกลับร้าวลึกยิ่งกว่า
จากความคิดแค่เข้ามาชั่วคราว ทั้งด้วยความหอมหวลของอำนาจและภารกิจในช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์ทำให้คณะทหารต้องสร้างทางเพื่อสืบทอดอำนาจให้ได้ แต่กว่าจะปูทางสำเร็จต้องใช้ปรมาจารย์ทางกฎหมายถึงสองคนมาลงมือ
แม้กระนั้นรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นคู่มือสู่อำนาจถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นธรรมในกติกาที่เขียนขึ้นเพื่อเอาเปรียบคู่แข่งคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ตะขิดตะขวงใจที่จะเดินเข้าสู่เวทีเลือกตั้งด้วยแต้มต่อที่สั่งให้คนเขียนปูทางเอาไว้ แม้ผลเลือกตั้งจะยังไม่ออกก็รู้กันแต่ในมุ้งแล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นใคร
แต่แม้จะมีกติกาที่เป็นต่อก็ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะมวลชนของระบอบทักษิณที่หมอบราบอยู่ยังคงพร้อมที่จะเข้าไปแสดงพลังในคูหาเลือกตั้ง ทีมงานของพล.อ.ประยุทธ์จึงต้องหยิบเอาความสงบราบเรียบในช่วงรัฐบาลรัฐประหารที่กดไว้ด้วยปากกระบอกปืนมาเป็นจุดขาย
“ความสงบจบที่ลุงตู่” ข้อความนี้ถูกปูพรมไปทั่วแผ่นดินในวันที่คูหาเลือกตั้งใกล้จะเปิด
แล้วสุดท้ายลุงตู่คนนั้นก็เดินเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบหืดขึ้นคอ ก่อนจะใช้ฐานะแห่งหนทั้งพลังอำนาจและพลังกล้วยดึงเอาฝั่งตรงข้ามมาร่วมหัวจมท้ายจนฐานะของเรือที่ทำท่าจะพลิกคว่ำหงายได้ง่ายลอยอยู่เหนือลำน้ำอย่างปลอดภัย
แต่หารู้ไม่ว่าคลื่นประชาชนอีกฝั่งที่ถั่งโถมครืนคลั่งอยู่ใต้น้ำที่ถูกกดไว้ด้วยพลังของอำนาจรัฐประหารนั้น ถูกปลดปล่อยออกมาผสานกับคลื่นของคนหนุ่มสาวที่ไม่พอใจการกดขี่และการใช้อำนาจแบบไม่บันยะบันยังสาดซัดขึ้นมาเหนือผิวน้ำและมีทีท่าจะกลายเป็นสึนามิ
กระทั่งเกิดโรคระบาดใหญ่ออกมาช่วยสกัดการเคลื่อนไหวนั้นให้สงบลงไปชั่วขณะหนึ่ง
สภาพการเมืองที่เน่า การแก่งแย่งชามข้าวกันเองราวกับสุนัขข้างถนน ทำให้สภาพการเมืองไม่ได้แตกต่างไปกว่าเดิม ซ้ำร้ายกลุ่มคนเหล่านั้นยังเป็นคนกลุ่มเดิมที่รับใช้ระบอบทักษิณมาก่อน ต่างกันเพียงแต่คนเหล่านั้นวันนี้มาห้อมล้อมตัวพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น ยิ่งทำให้ดูเหมือนข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองนอกจากไม่ได้รับการตอบสนองแล้วยิ่งจะจมปลักไปกว่าเก่า
ซ้ำร้ายภาพของ 3 ป.ที่หอบหิ้วพะเน้าพะนอตอบแทนบุญคุณกันไม่รู้จบ แบ่งปันอำนาจราวกับประเทศเป็นสมบัติส่วนตัวนั้น สร้างความครหาเคลือบแคลงใจให้กับประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังเกี่ยวก้อยร้อยรัดกันไว้ด้วยหัวใจที่โอนอ่อน ตอกย้ำให้เห็นว่า ขึ้นชื่อว่าเข้าสู่วงจรการเมืองแล้วไม่ว่าฝ่ายไหนก็เลวร้ายไม่ต่างกันเหมือนหนีเสือปะจระเข้
จนดูเหมือนว่าการเมืองกำลังหมุนไปตามกงล้อของวงจรอุบาทว์อันเป็นวัฏจักรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปรของประเทศไทยอีกครั้ง
ความแตกแยกของประชาชนที่ไม่เคยคิดแก้ไขแม้จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ต้องการให้ประชาชนฝั่งหนึ่งเป็นกำแพงค้ำยันกับประชาชนอีกฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล เพราะถ้าประชาชนสามัคคีกันแรงเหวี่ยงก็จะมาเกิดกับรัฐบาล เมื่อกระแสโรคระบาดสงบลง แม้จะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องตัวเอง แต่รู้ทั้งรู้การชุมนุมของทุกฝ่ายทุกครั้งรัฐบาลก็งัดเอา พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี่แหละมาข่มขู่แต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครกลัวเกรง
รัฐบาลรัฐประหารนอกจากไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งแล้ว มุ่งแต่ปูทางกลับเข้ามามีอำนาจ ทำให้ความขัดแย้งไม่ได้เป็นเพียงการขัดแย้งเรื่องตัวบุคคล แต่กำลังพัฒนาเป็นความขัดแย้งในเชิงระบอบ เมื่อคนหนุ่มสาวลุกขึ้นมากลายเป็นแนวร่วมของระบอบทักษิณ ความสงบที่เคยกดไว้ด้วยปากกระบอกปืนปะทุขึ้นมาท่ามกลางวิกฤตที่กำลังรายล้อมนำประเทศไปสู่วิสัญญีอีกครั้ง
จากคนที่เคยอ้างว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศ กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศขัดแย้งเพิ่มขึ้นเสียเอง
ความสงบที่เอามาเป็นจุดขายนั้นมันฟ้องชัดแล้วว่า ไม่ใช่เป็นความสงบที่แท้จริง เมื่อหมดอำนาจจากปากกระบอกปืนลง ความคั่งแค้นโกรธเคืองของมวลชนอีกฝั่งก็ปะทุออกมารุนแรงกว่าเก่า และกำลังนำประเทศไปสู่ความสุ่มเสี่ยง
รัฐบาลนี้คงมองเห็นว่า ปัญหาอยู่ที่ไหน แต่เชื่อเถอะว่า ความเชื่อมั่นในตัวเองของพล.อ.ประยุทธ์นั้น จะกลายเป็นเส้นผมบังภูเขา แม้ใครจะเสนอทางออกเพื่อคลี่คลายความร้อนแรงของมวลชนสองฝ่ายลง หรือเสนอทางออกให้แก้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นชนวนที่สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายต่อต้าน ก็เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะไม่ทำเพราะเชื่อมั่นในอำนาจของตัวเอง
ทั้งๆ ที่มองเห็นอยู่แล้วว่า วันนี้ข้อเรียกร้องของคนหนุ่มสาวนั้นก้าวเกินไปกว่าเรื่องรัฐบาลแล้ว แม้จะประเมินว่า ยังมีเพียงหยิบมือตามแต่จะดูแคลนกัน แต่ต้องไม่ลืมเวลาที่เหลืออยู่เป็นของคนรุ่นเขามากกว่าของเรา หากไม่หาทางคลี่คลายเสียแต่วันนี้ เราก็จะทิ้งบาดแผลให้คนรุ่นหลังรับกรรมไป และผลก็จะตกกับประเทศชาติของเรา
ผมพูดเสมอว่า ความคิดความเชื่อความศรัทธาในระบอบไหนของใครก็ตามไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่คำถามถึงผู้มีอำนาจในขณะนี้ว่า เราจะรักษาระบอบที่หลอมรวมเป็นชาติตอนนี้ของเราไว้อย่างไร เชื่อเลยว่าทุกคนทุกฝ่ายก็มองเห็นปัญหาเพียงแต่จะลงมือแก้ไขหรือคิดว่าช่างมันหรือไม่เท่านั้นเอง
เห็นการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์และคนที่รายล้อมแล้วต้องบอกว่า ความสงบคงจบลงที่ยุคสมัยของลุงตู่จริงๆ
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan