สถานะของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเป็นบุคคลภายนอกที่ยินยอมให้พรรคเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี แต่รับรู้กันอยู่แล้วว่า แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่พรรคนี้ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อสืบทอดอำนาจอยู่ดี
หากจำกันได้ในช่วงแรกพรรคนี้จะเสนอชื่อ 3 คนตามกติกาที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ นอกจากพล.อ.ประยุทธ์แล้ว ก็มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค แต่พล.อ.ประยุทธ์เกี่ยงงอนว่าจะต้องเสนอชื่อท่านคนเดียวเท่านั้นจึงจะรับ และสุดท้ายพรรคก็ต้องตัดนายสมคิดและนายอุตตมออกไป
ทั้งที่แม้เสนอชื่อนายสมคิด นายอุตตมเผื่อไว้ก็ไม่เสียหายอะไร แถมนายสมคิดและนายอุตตมยังเป็นตัวหลักให้ไปจัดตั้งพรรคขึ้นมาร่วมกับนายชวน ชูจันทร์ เจ้าของตลาดน้ำคลองลัดมะยม
พอเห็นชื่อพล.อ.ประยุทธ์ก็แบเบอร์มาตั้งแต่ในมุ้งแล้วว่านายกฯ คนต่อไปหลังเลือกตั้งจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว พรรคที่สนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรียังมีพรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคพระพุทธเจ้าที่เขาเรียกขานกันของนายไพบูลย์ นิติตะวันด้วย
ปรากฏว่า พรรคของนายสุเทพได้รับการเลือกตั้งจาก ส.ส.เขตที่ชุมพรเพียงคนเดียว นอกนั้นได้ ส.ส.จากบัญชีรายชื่อ 4 คน ส่วนพรรคของนายไพบูลย์ก็ได้คะแนนรวมกันจากทั่วประเทศเพียง 45,000 คะแนนเศษ แต่ได้เป็น ส.ส.ด้วยการนับคะแนนแบบสูตรพิสดารของ กกต.ร่วมกับพรรคคะแนนเขย่งอีกหลายพรรค สุดท้ายนายไพบูลย์ก็ยุบพรรคแล้วเอาตัวเองไปอยู่พรรคพลังประชารัฐเสียเฉยๆ
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศว่าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ก็พังไม่เป็นท่า สอบตกหมดทั้ง กทม.เพราะมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เขาจำใจต้องเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังประชารัฐเพราะกลัวพล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้เป็นนายกฯ กันหมด
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศว่าสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนก็ยังคงเทให้พรรคพลังประชารัฐอยู่ดี เหมือนผลลัพธ์ของพรรคนายสุเทพและพรรคนายไพบูลย์ที่มีคะแนนน้อยมาก
จะเห็นได้ว่า จุดขายของพรรคพลังประชารัฐก็คือ พล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ พรรคต้องฟังเสียงพล.อ.ประยุทธ์ตั้งแต่เลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว ถ้าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นตัวชูโรงก็อาจจะไม่ได้รับคะแนนขนาดนี้ ตอนนั้นเป้าหมายสำคัญคือ ฝั่งพรรคพลังประชารัฐและพรรคที่สนับสนุนอย่างชัดแจ้งคือพรรคนายสุเทพและพรรคนายไพบูลย์จะต้องได้ ส.ส.รวมกันอย่างน้อย 126 เสียง
ปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐได้ 119 เสียง พรรคนายสุเทพได้ 5 เสียง และพรรคนายไพบูลย์ได้ 1 เสียง รวมกันยังไม่พอเพราะได้แค่ 125 เสียงเท่านั้นเอง แต่เมื่อรวมกับเสียง ส.ว.250 เสียงที่รอยกมือให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้วก็เท่ากับกึ่งหนึ่งของสองสภาคือ 375 เสียงพอดี
แต่จำนวน ส.ส.เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบีบให้พรรคอื่นต้องไหลมาทางนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะมีจำนวน ส.ส.มากที่สุดก็ยากที่จะฟอร์มรัฐบาลให้ได้เกิน 376 เสียงเพื่อข้ามพ้นกึ่งหนึ่งของสองสภา ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ออกแบบไว้เพื่อพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้วนั่นเอง
เราต้องยอมรับนะครับว่า มวลชนที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งตอนนั้นแบ่งฟากชัดเจนเป็น 2 ขั้วการเมือง อีกฝั่งหนึ่งมีพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ตอนนั้นประกาศชัดเจนว่าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์
ชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐเหนือฟากเดียวกันคือพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนว่า คนอีกฟากหนึ่งต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหลังเป็นมาแล้ว 5 ปี แม้ว่า ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐหลายคนจะถูกระดมมาจาก ส.ส.เก่าของพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่คนเขาก็เลือกเพราะพล.อ.ประยุทธ์อยู่ดี
แต่วันนี้กลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งได้ปีเดียว ส.ส.ส่วนใหญ่ที่มาจากพรรคเพื่อไทยเก่าก็ก่อหวอดกดดันพล.อ.ประยุทธ์ไล่นายสมคิดนายอุตตม และทีมงานให้ออกไปจากพรรค เรียกร้องให้ตั้งรัฐมนตรีจาก ส.ส.ของพรรค โดยอ้างว่า พวกเขาเป็นคนที่ลงทุนลงแรงเข้ามาเป็น ส.ส.ของพรรคได้สำเร็จ
การเมืองกลายเป็นวังวนเดิม แย่งชิงชามข้าวแย่งชิงอำนาจเน่าเฟะยิ่งกว่าการเมืองในยุคทักษิณที่มีความเป็นเอกภาพมาก โพลทุกโพลปรากฏผลออกมาเอือมระอากับการเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในพรรค พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้ทำอะไรที่จะยับยั้งอ้างแต่ว่าเป็นเรื่องของพรรคไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่คนส่วนใหญ่เขารู้ว่า ที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทำอะไรนั้น เพราะเกรงใจพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ที่ได้รับการสถาปนาเป็นหัวหน้าพรรคแทนนายอุตตมนั่นเอง
แม้พล.อ.ประวิตรจะไม่แสดงท่าทีรุกไล่อะไรนายสมคิดและทีมงาน แต่ก็ปล่อยให้ลูกพรรคออกมาถล่มคนแล้วคนเล่าแบบขับไล่ไสส่ง แถมเห็นชัดว่า ในการอภิปรายในสภาฯ ยังมีการยืมมือ ส.ส.งูเห่าที่ฝากเลี้ยงไว้ในพรรคเพื่อไทยเพื่อพุ่งเป้ามาที่นายสมคิดและทีมงาน
รู้ทั้งรู้ว่าในพรรคกำลังเล่นสงครามกันส่งผลเสียต่อรัฐบาล แต่ด้วยเหตุที่พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกมาหลายครั้งว่า เคารพรักพล.อ.ประวิตร มีความเกรงอกเกรงใจ มีบุญคุณต่อกัน เพราะพล.อ.ประวิตรเป็นคนที่ผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ก้าวเดินมาถึงวันนี้ได้ และเคยประกาศว่าไม่ทิ้งกันต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป พล.อ.ประยุทธ์จึงทำตัวเหมือนกับทองที่ไม่รู้ร้อนกับปัญหาในพรรค
เพราะดูเหมือน ณ สถานการณ์ตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์คงต้องทำทุกอย่างไม่ให้ขัดใจ ส.ส.ในพรรคเพราะเท่ากับขัดใจพี่ใหญ่ที่ตัวเองเคารพรัก แม้พล.อ.ประยุทธ์จะมีอำนาจในมือมีชะตากรรมของประเทศชาติอยู่ในมือ เหมือนผู้นำทัพที่กำลังทำสงคราม แต่เกิดความแก่งแย่งกันเองในกองทัพที่ต้องการให้เปลี่ยนขุนพลข้างกายกลางศึก แต่สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ก็น่าจะเลือกเดินตามพี่ใหญ่ที่รักอยู่ดี เพราะบุญคุณที่เคยมีให้ต่อกัน
ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐวันนี้คงลืมไปแล้วว่า คนที่ลากให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งนั้นเป็นผลมาจากพล.อ.ประยุทธ์ไม่น้อย และไม่เข้าใจรับรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องเข้ามารับตำแหน่งสืบทอดอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่ออกแบบไว้เพราะความจำเป็นของภารกิจในช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์ที่ต้องการความมั่นคง
เพราะถ้า ส.ส.ในพรรคเข้าใจการแย่งชิงชามข้าวแย่งชิงอำนาจในพรรคคงไม่เกิดขึ้นให้เอือมระอากับซากเดนแบบการเมืองเก่าที่เน่าฟุ้ง ทะเลาะกันในขณะที่พล.อ.ประยุทธ์พยายามบอกคนไทยให้ “รวมไทยสร้างชาติ”
เห็นได้ชัดว่า แม้พล.อ.ประยุทธ์พยายามจะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนต่อแรงกดดันของพี่ใหญ่อยู่ดี นายสมคิดและทีมงานก็รู้ชะตากรรมนี้ ลาออกจากพรรคแต่ไม่ลาออกจากรัฐมนตรีเพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ไปแก้ปัญหาเอง
แม้พล.อ.ประยุทธ์จะมีหมัดเด็ดคือ การยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่ และยังมีเสียงของ ส.ว. 250 คนอยู่ในมือเหมือนเดิม แบบที่สิงคโปร์เลือกเดิน แต่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่เลือกทางเดินนี้
เพราะการแสดงออกหลายครั้งของพล.อ.ประยุทธ์นั้น บ่งบอกว่าความรักต่อพล.อ.ประวิตรนั้นยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีวันหรอกที่จะทำร้ายจิตใจของพี่ใหญ่ที่ตัวเองเคารพรัก
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan