เมืองไทย 360 องศา
เพียงแค่คำพูดเปรียบเทียบสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่พูดขึ้นมาลอยๆ โดยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะแย่จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด จึงมีการยุบสภาเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และทำให้ประชาชนมีทางเลือก ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาทันที
กลายเป็นว่าได้สร้างความหวาดผวากันไปทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเอง มีบางกลุ่มก๊วนถึงขั้นกดดันให้นายสมคิด ลาออกไป เช่น นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กรรมการบริหารพรรค รวมไปถึงมีส.ส.บางคนที่มีท่าทีแบบเดียวกัน
ไม่เว้นแม้แต่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย เช่น นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ ที่ถึงกับมีการพูดกลางสภา ขอร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ให้ยุบสภา เนื่องจากเห็นว่าเพิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่ได้ไม่นาน จึงไม่อยากตกงาน อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ ยังมีความเข้มแข็ง จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องยุบสภา
อย่างไรก็ดี ในเรื่องดังกล่าว นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิด เพราะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ชี้แจงในคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ในทำนองว่าเป็นการโยงคำพูดออกไปแบบผิดความหมาย ซึ่งกรณีของสิงคโปร์นั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย
ขณะเดียวกันล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ออกมาสยบเกมกดดันภายในพรรคโดยย้ำว่า เป็นการพูดและความเข้าใจผิดของ นายชัยวุฒิ เพียงคนเดียว
"จะเคลียร์เรื่องอะไร เขาไม่ได้ตะเพิด สื่อใช้คำพูดมากเกินไป ทำให้คนโกรธกัน ในข้อเท็จจริงคือเขาไม่เข้าใจ คุณชัยวุฒิเขาเข้าใจว่า คุณสมคิดจะไปยุบสภา และทำให้เขาไม่มีงานทำ และตกงาน ซึ่งส่วนตัวได้บอกเขาแล้วไม่เป็นอะไร เป็นเรื่องภายในพรรค เขาแค่กลัวตกงานเท่านั้น และเรื่องนี้คุณสมคิดเข้าใจดี” คำพูดของ พล.อ.ประวิตร กล่าวชี้แจง
แน่นอนว่าหากพิจารณาจากคำพูดและท่าทีของทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าไม่ได้มีเจตนาเปรียบเทียบสถานการณ์กับประเทศสิงคโปร์ แต่เป็นการเชื่อมโยงแบบคลาดเคลื่อน ขณะที่“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รีบออกมา “ตัดจบ”เพราะรับรู้ว่ายิ่งต่อความยาวสาวความยืด มันก็มีแต่ผลลบ ไม่มีบวก ยิ่งเวลานี้มีหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาจนชาวบ้านเบื่อหน่ายรำคาญ
อย่างไรก็ดี จากเรื่องราวดังกล่าวทำให้จับอาการได้ทันทีว่า บรรดาส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ กำลังมีอาการหวาดผวากับการ “ยุบสภา” อย่างแรง แม้ว่ามีการประเมินกันว่าหากมีการยุบจริงในเวลานี้ พวกเขาก็ยังได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากเป็นฝ่ายรัฐบาล และที่ผ่านมาสามารถกุมกลไกอำนาจรัฐมานาน โดยเฉพาะในระดับหัวหน้าพรรคคนใหม่ อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หากต้องการกลับมาอีกรอบ
แต่จากสถานการณ์ที่รุมเร้าในเวลานี้ของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะเหตุการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการเคลื่อนไหวในแบบ “ยึดพรรค”ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาจากสังคม โดยเฉพาะผู้ที่เคยสนับสนุน และเคยเลือกพรรคนี้มาก่อน สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือผลสำรวจที่ออกมาที่สะท้อนภาพความเห็นใจกรรมการบริหารพรรคชุดเก่าที่ถูกมองว่า “ถูกกระทำ”รวมไปถึงการชื่นชมผลงานของรัฐมนตรี “4กุมาร”อีกด้วย
ขณะที่มีเสียง “ยี้”ชุดใหม่ ดังที่ปรากฏให้เห็นในเวลานี้ที่มาแบบคนละเรื่องเดียวกัน ตั้งแต่เรื่อง“หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่”ไปจนกระทั่งกรณีของนักพูดสร้างแรงบันดาลใจคนหนึ่ง ที่กำลังมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรับบริจาค และมีการเชื่อมโยงมาถึงจนต้องมีการปัดกันพัลวัน
ซึ่งความหวาดผวาหรือตื่นกลัวดังกล่าวนี้ ยังหมายรวมไปถึง ส.ส.พรรคอื่นๆ ด้วย อย่างที่บอกไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย หรือรวมไปถึงทุกพรรคที่หวาดผวากับการยุบสภา เพราะทุกคนไม่อยากเหนื่อย และเสี่ยงกับการต้องสอบตกเสียเงินเสียทองไปกับการหาเสียงเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี หากวกกลับมาทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของ “พี่ใหญ่”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคก็ต้องรีบตัดจบให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมมากกว่านี้จนทำให้เกิดภาพลบลงไปอีก แต่ขณะเดียวกันก็ยังได้เห็นความเคลื่อนไหวของบรรดา “กลุ่มก๊วน” ในพรรคที่รอจังหวะเขย่าให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี โดยการกดดันรัฐมนตรีในทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มีโอกาส แม้ว่าที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยืนยันหนักแน่นหลายครั้งแล้วว่ายังไม่ปรับ และจะพิจารณาเองตามความเหมาะสมก็ตาม
ดังนั้น หากพิจารณาจากรูปการณ์แล้ว มันก็เหมือนกับว่า “กลุ่มก๊วน” ในพรรคพลังประชารัฐยังมีความพยายามรอจังหวะฉกฉวยสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เขย่าให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อวาดหวังว่ากลุ่มของตัวเองจะเข้าไปเสียบแทน แต่กลายเป็นว่าเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆว่า “ยุบสภา”ก็หวาดผวาสติแตกกันไปแล้ว !!