เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเกินคาดก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก สำหรับผลการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่ ที่มี “บิ๊กป้อม”หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค และ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค พร้อมทั้งมีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่วางไว้จำนวน 27 คนก่อน จากจำนวนเต็ม 29 คน
ที่บอกว่า ไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนักกับเสียง “ยี้” ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเริ่มได้ยินเสียงในลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกดดันให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมลาออก โดยเฉพาะการกดดันให้อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตเลขาธิการพรรค ลาออก และในที่สุดก็นำไปสู่การยกทีมลาออกจากคณะกรรมการบริหารพรรคจำนวนเกินกึ่งหนึ่ง เพื่อให้พ้นไปทั้งคณะตามข้อบังคับพรรค แต่ในความหมายก็คือ “หักแบบ ไม่ไว้หน้า” กันเลย
ภาพการเคลื่อนไหวที่ออกมาในทางสังคม ก็คือ ไม่ต่างจากการ “รุมขยี้” ให้ดับดิ้นกันไปต่อหน้า!!
และต่อมาเมื่อภาพชัดขึ้นว่า บุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสียง “ยี้” ก็ดังลั่นมาตั้งแต่วันนั้น ประกอบกับการเคลื่อนไหวของบรรดากลุ่มก๊วนที่ออกตัวกันแบบแท็กทีมก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่สังคมตั้งข้อ “รังเกียจ” มานาน หลายคนมีภาพลักษณ์เป็น “สีเทา” บางคนถึงขั้นเป็น “สีดำ” เลยก็มี เพราะถูกชี้มูลความผิดในข้อหาทุจริตมาหลายคดี เรียกได้ว่ามากันครบ
แน่นอนว่า หากลองไปถามแต่ละคน พวกเขาก็ย่อมมั่นใจว่าตัวเอง “มีดี” ยังมั่นใจว่าเป็นระดับ “ดาวฤกษ์” ซึ่งก็คงไม่มีใครเถียง หากเป็นระดับในพื้นที่ ก็ต้องถือว่า “พอตัว” แต่หากพิจารณาให้เป็น “กระแส” มันก็มีแต่กระแสลบ มีแต่ฉุดความศรัทธาทั้งพรรค และต่อเนื่องไปถึงรัฐบาล และไปถึงตัวผู้นำรัฐบาลที่พวกเขาให้การสนับสนุนอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปที่ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ก่อนหน้านี้ เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐ และแสดงท่าทีว่า “ไม่อยากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” รวมไปถึงเคยพูดย้ำว่า “ไม่รับ” เมื่อถูกสื่อซักถามถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งหลายคนก็มองว่า เขาไม่น่าจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะจะตกเป็นเป้า “แบบตำบลกระสุนตก” และเชื่อว่า หากรับตำแหน่งก็จะกลายเป็นจุดโฟกัส จาก “ภาพลักษณ์” ที่ถูกมองว่า “เป็นสีเทา” และที่ผ่านมา หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องบอกว่าเขานี่แหละ “เป็นตัวถ่วง”
แม้ว่าในระดับวงในจะถือว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ถือว่าเป็น “พี่ใหญ่” ของ “3 ป.” มีคอนเนกชันมากมาย ทั้งกับกลุ่มทุนใหญ่ กลุ่มเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เรียกว่า “กลุ่มเซนต์คาเบรียล” รวมไปถึงในกองทัพ ซึ่งว่ากันว่า การรัฐประหารของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 57 “พี่ใหญ่” คนนี้แหละให้การสนับสนุนอย่างสำคัญ หรือหากมองย้อนกลับไปในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตอนนั้นตัวเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง มีพลังขนาดไหนที่สามารถผลักดันให้ “น้องชาย” คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผลสำเร็จ
แต่สิ่งที่กลายเป็นภาพลักษณ์อื้อฉาวติดตัวก็คือ กรณี “นาฬิกาเพื่อน” ที่ทำลายความรู้สึกของสังคมอย่างหนัก และสะเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลโดยรวมไปด้วย และอีกหลายเรื่องราวที่ทำให้เขามีภาพลักษณ์เป็นลบตลอดมา เอาเป็นว่า “บิ๊กป้อม” คนนี้ออกมาในโทน “สีเทา” ก็ แล้วกัน และ “เป็นกระแสทางลบ” มากกว่าทางบวก
หลายคนจึงไม่คิดว่า พล.อ.ประวิตร จะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากจะกลายเป็น “เป้า” แบบไม่จำเป็น และที่สำคัญ ด้วยอำนาจและบารมีของเขาในวันนี้มันถือว่าสูงเกินกว่าที่จะมานั่งตำแหน่งนี้แล้ว เพราะหากพิจารณาในทางยาวแล้วอาจ “ได้ไม่คุ้มเสีย” ทำให้รัฐบาลสูญเสียความศรัทธามากขึ้น จากปัญหารุมเร้ารอบทิศ จากเรื่องโรคระบาดโควิด-19 เนื่องจากต้องไม่ลืมว่ายังมีฝ่ายตรงข้ามที่จ้องรอจังหวะถล่มเป็นรายวัน
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นเฉพาะหน้าทันที ก็คือ เสียง “ยี้” ดังกระหึ่มมาจากรอบทิศทาง หลังได้รับทราบผลการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ชุดใหม่ เพียงแค่เรื่องที่มีการประกาศว่าจะให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หนึ่งในกรรมการบริหารพรรค ที่เวลานี้กลายเป็นคนรับใช้ใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” ว่าจะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า “มือไม่ถึง” แม้ว่าจะมาแก้ต่างว่าเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรคก็ตาม
นั่นคือ ตัวอย่างที่เห็นภาพ “ยี้” ที่เริ่มรุมกระหน่ำทุกทิศทาง และเชื่อว่า สัญญาณแบบนี้เจ้าตัวก็ต้องรับรู้ และจะด้วยบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ปรากฏว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมาก็ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไม่ได้ปรากฏตัวที่ทำเนียบฯ ตลอดทั้งวัน
นอกจากนี้ พิสูจน์จากผลสำรวจหรือโพลที่ออกมาก็ทำนองเดียวกัน ที่ตอกย้ำในเรื่องภาพลักษณ์ และสะเทือนไปถึงรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี และแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการ “ก่อการยึดพรรค” ที่หลายคนมองออกว่าเป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การบีบให้ปรับคณะรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งรัฐมนตรี ที่มีการเคลื่อนไหวของแกนนำ “บางคน” ว่าอยากไปนั่ง หลังจากเขี่ยคณะกรรมการการบริหารพรรคชุดเก่าพ้นไป โดยมีตำแหน่งรัฐมนตรีพ่วงไปด้วย โดยมีการคาดกันว่า น่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในกลางเดือนหน้า หลังพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณปี 64 ผ่านวาระแรกไปแล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถรับมือกับปัญหาโรคระบาดโควิดได้ในระดับดี แต่ก็กำลังกลายเป็นว่ากระแสลบภายในพรรคพลังประชารัฐ กำลังกลบเรื่องเด่นดังกล่าวลงไปเรื่อยๆ จนน่าเป็นห่วงว่าจะถดถอยลงไปถึงไหน ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งการเปิดหน้าโดดลงมาเต็มตัวของ “พี่ใหญ่” ที่เพียงแค่เปิดหัว ก็มีเสียง “ยี้” ระงม แล้วมันจะไหวหรือเปล่า !!