เมืองไทย 360 องศา
ตามรายงานข่าวเมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลพยายามสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงเรื่องที่มีแรงกดดันภายในพรรคพลังประชารัฐให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค และให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีบางตำแหน่ง ซึ่งตามข่าวบอกว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ยินคำถาม หลังจากมีความพยายามสอบถามว่า จะเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาดังกล่าวภายในพรรคอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ดี ก็มีความไม่เป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้ยินคำถาม เพราะต้องเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็เป็นได้ หรือไม่ก็อาจ “ทำหูทวนลม” ก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูดหลังจากนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่เขาตอบคำถามยืนยันว่า “ในส่วนการเมืองขออนุญาตไม่ขอตอบในช่วงนี้ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ช่วงนี้เป็นเรื่องของการทำงานของเรามากกว่า ที่จะดูแลฟื้นฟูและจะคืนความสุขประชาชนอะไรได้บ้างตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้”
ก็ต้องบอกว่าชัดเจน เป็นสัญญาณส่งออกไปให้เห็นแล้วว่า “การเมืองเอาไว้ก่อน” ตอนนี้โฟกัสแต่เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19 เป็นการเฉพาะหน้าให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นให้รอไปก่อน
ดังนั้น หากพิจารณาจาก “แบ็กกราวนด์ข่าว” ที่มีการระบุว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐจากบางกลุ่มที่พยายามกดดันให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงมีความพยายามเคลื่อนไหวให้กรรมการบริหารพรรคเกินครึ่งลาออกเพื่อหวังบีบให้คณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดต้องลาออกไปด้วย
อย่างไรก็ดี เป้าหมายหลักก็คือ เพื่อหวังให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีในโควตาของพรรค โดยเฉพาะต้องการให้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญบางตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่งอยู่ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึง นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น
ขณะที่ตามข่าวบอกว่า มีความพยายามผลักดันให้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งเวลานี้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทน นายอุตตม สาวนายน และให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากโฆษกรัฐบาลมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แทน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท จะมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.ของพรรค อาจจะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ แทน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นต้น
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากหน้าตาดังกล่าว ก็ไม่รู้ว่าสาธารณชนจะมองเห็นอย่างไรกันบ้าง เพราะบางคนหากให้พิจารณาหรือวิจารณ์กันแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องมือทาบอก อุทานว่า “คนนี้เป็นรัฐมนตรีด้วยหรือ” เพราะจริงๆ แล้วในรายชื่อที่ว่านั้น จนบัดนี้ยังไม่รู้เลยเป็นรัฐมนตรี เช่น นายสันติ พร้อมพัฒน์ มีใครพอรับรู้ว่าเขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หรือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่หลายคนผิดหวังกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพราะยังไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำ นอกเหนือจากข่าวว่าเตรียมรื้อฟื้นโครงการ “แจกแท็บเล็ต” อันอื้อฉาวในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้กับเด็กนักเรียนอีกครั้ง จนมีเสียงค้านจนต้องม้วนเสื่อไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่รู้ว่าข่าวที่ว่า ปล่อยมาแบบไหน ฝ่ายไหนต้องการ “หวังดีประสงค์ร้าย” เพราะเมื่อพิจารณาตามรายชื่อก็ต้องกล่าวกันแบบตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มเดิมๆ ที่มักมีข่าวเขย่าให้ปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชารัฐเป็นระยะ แต่ทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยตอบสนอง แม้ในช่วงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เนื่องจากเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา และเชื่อว่า จะทำให้เกิดความกระเพื่อมอาจสะเทือนไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลโดยไม่จำเป็น
เมื่อมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันมันก็ยิ่งชัดเจน นั่นคือ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ “มองผ่าน” โดยย้ำว่า กำลังโฟกัสอยู่กับการแก้ปัญหาโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด ไม่สนใจเรื่องการเมืองในเวลานี้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากท่าทีของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่มีข่าวว่าจะถูกผลักดันมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ หากพิจารณากันตาม “เซนส์” กันล้วนๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ในพรรค เพราะมันไม่ต่างจากตำบลกระสุนตก คนละเรื่องกับตำแหน่งด้านยุทธศาสตร์ฯ
ขณะเดียวกัน ที่เชื่อว่า เขาน่ารับสายตรงจาก “บิ๊กตู่” จึงส่งสัญญาณมาให้เห็นก่อนหน้านี้แล้วว่า “ยังไม่มีอะไร”
ดังนั้น เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจาก “หมายเลขนี้” มันก็คงไม่มีอะไรในกอไผ่ คิดได้ ฝันได้ แต่ในสถานการณ์ความเป็นจริงคงต้องรอไปอีกยาวๆ !!