เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้จะเรียกว่ามั่นใจได้เกินร้อยก็ว่าได้ สำหรับสถานะของ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะที่อีกเก้าอี้หนึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังมั่นคง
ที่ต้องบอกกล่าวกันแบบนี้ ก็เพราะมาจากการเคลื่อนไหวล่าสุดที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อตอนบ่ายวันที่ 5 พฤษภาคม หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี และภายหลังจากที่มีการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งคู่ก็ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกเข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้าในห้องทำงานของนายกฯ นานราว 30 นาที
ตามรายงานข่าวบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เรียกทั้งคู่ไปสอบถามถึงการทำงานและให้รายงานให้ทราบ รวมทั้งสอบถามถึงปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ
จากนั้น นายอุตตม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าพบ ว่า ในการพูดคุยมีทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องการเมือง ท่านได้ให้กำลังใจและชี้แนะว่า เรื่องของพรรคน่าจะเรียบร้อยได้ด้วยการหารือ ตนและนายสนธิรัตน์จะทำตามนั้น พร้อมทั้งเผยอีกว่า
“นายกฯ ยังระบุด้วยว่า ในงานที่ทำอยู่ขณะนี้ให้ทำต่อไป ทำด้านไหนอยู่ก็ทำด้านนั้นต่อไป เวลานี้เป็นเวลาทำงานไม่อยากให้มีเรื่องอื่นเข้ามาแทรก”
ถามว่า ทั้งตำแหน่งใน ครม.และในพรรคใช่หรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า “ครับ นายกฯชี้แนะให้กำลังใจให้ทำงานไปให้เต็มที่” เมื่อถามว่า ถือเป็นการเรียกเคลียร์ใจหรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า การพูดคุยมีทั้งเรื่องงานและเรื่องการเมือง เมื่อเราเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องมีเรื่องการเมืองบ้าง จึงถือโอกาสได้เรียนหารือ
เมื่อถามว่า มั่นใจมากขึ้นหรือไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะมั่นคง นายอุตตม กล่าวว่า ตนและนายสนธิรัตน์ทำเต็มที่ ถ้าจะให้มั่นใจก็มั่นใจว่าเราทุ่มเต็มร้อย นายกฯก็บอกว่าให้ทำเต็มที่
ด้าน นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เร็วๆ นี้ คงมีโอกาสได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีอะไร ส่วนสถานการณ์ในพรรค นายกฯระบุว่า ทุกอย่างยุติแล้ว ก็ไม่มีอะไร อย่าไปมองว่ามีอะไร ซึ่งมันไม่มี ทุกอย่างยุติ ทุกคนมุ่งหน้าทำงาน
“นายกฯ ย้ำว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งใดๆ ในช่วงนี้ นายกฯอยากให้มีการพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในพรรค เพื่อจะทำงานกันได้” นายสนธิรัตน์ กล่าวอ้างคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและคำพูดดังกล่าว ถือว่า “ทุกอย่างเคลียร์คัตแบบชัดเจน” แบบไร้ข้อกังขาว่าปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ได้จบลงแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ส.บางส่วนภายในพรรค ตามที่มีรายงานว่า มีชื่อของ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เป็นต้น และยังรวมไปถึงมีข่าวว่า มีชื่อของ ส.ว.คนหนึ่ง ที่เป็นอดีตนายทหาร นามว่า “เสธ.อ้น” พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชา เข้ามามีบทบาทเคลื่อนไหวในการแซะเก้าอี้ของ นายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ โดยมีการเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยตอนนั้นมีข่าวว่าจะเริ่มจากการให้คณะกรรมการบริหารพรรคลาออกให้เกินครึ่ง เพื่อให้มีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จากนั้นค่อยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป
อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่า ไม่ว่าภายในพรรคจะมีการเคลื่อนไหวกันอย่างไร มีความพยายามเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี และตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐ ของ นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการยอมรับจากสังคมภายนอกด้วยว่า ได้คุ้มเสียกับสถานการณ์ในเวลานี้หรือไม่ ในช่วงที่อยู่ในภาวะวิกฤตจากโรคระบาด เพียงแค่ได้ยินข่าวการเคลื่อนไหวแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านสะอิดสะเอียน ไม่รู้กาลเทศะ มีแต่ผลลบ ไม่มีผลบวกเลยสักนิดเดียว
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลงานของรัฐบาลในเวลานี้ พิจารณาจากผลสำรวจล่าสุด พิสูจน์กันก็ได้ว่า ชาวบ้านให้เครดิต นายสนธิรัตน์ จนสร้างความจดจำในเรื่องช่วยเหลือลดค่าครองชีพของชาวบ้าน ทั้งการลดค่าไฟฟ้า คืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า อุดหนุนราคาแก๊สหุงต้ม เป็นต้น ขณะที่ นายอุตตม จากโครงการเยียวยาเดือนละ 5 พันบาท ที่แม้ว่าในตอนแรกจะถูกวิจารณ์จากบางกลุ่ม แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อยแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ จนทำให้มีชาวบ้านได้รับสิทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเอาไว้แค่ 3 ล้านคน เวลานี้สามารถขยายเยียวยาได้ถึงกว่า 16 ล้านคน และกำลังทยอยโอนเงินไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว และเฟสสองที่กำลังจะเริ่มในกลางเดือนนี้ คือ การเยียวยาเกษตรกร คนละ 15,000 บาท อีกกว่า 10 ล้านคน โครงการใหญ่แบบนี้กำลังดำเนินไป ทำให้ชาวบ้านได้จดจำ แม้ถูกวิจารณ์ แต่เสียงก็ค่อยๆ ลดลงไป
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของ “บิ๊กตู่” ที่ถือว่า เป็นผู้มีอำนาจเต็ม และถือว่า “ยืนหนึ่ง” อย่างแท้จริง ที่มองเห็นภาพการเคลื่อนไหวทั้งหมด ย่อมอ่านขาดว่า ต้องรีบเข้ามา “แบ็กอัพ” ใครบ้าง เพื่อให้ยุติการกระเพื่อมภายใน และเพื่อให้การบริหารงานของรัฐบาลในภาวะวิกฤตผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น