เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ถือว่าได้เห็นภาพทางการเมืองได้ชัดเจนในแบบที่เป็นการยืนยันความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของขุมพลังอำนาจของ กลุ่ม “3 ป.” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ป๊อก) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ป้อม) ว่า ยังเป็นเอกภาพไม่มีการแตกแถวออกไปอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลจะมีเสียงเจี๊ยวจ๊าววุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค กำลังจะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มิถุนายน หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน บรรดากลุ่มแกนนำที่ก่อการได้ยกขบวนไปเชื้อเชิญมาแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมา ยังมีหลายคนสงสัยว่า ความเคลื่อนไหว “ยึดพรรค” ดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรู้หรือไม่ บางคนคิดมโนไปไกลแบบสงสัยว่า หรือว่า 3 ป. ซดเกาเหลากันแล้วหรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ในแบบไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยย้ำว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่แยกกัน โดยย้ำถึงอำนาจของนายกรัฐมนตรี ในเรื่องการการตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมเมื่อถึงเวลา และย้ำว่า แต่เวลานี้ยังไม่ปรับ
ความสงสัยยังต่อเนื่องไปอีกว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำลังจะคิดการใหญ่ ฝันหวานในทางอำนาจ อาจท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันหน้า หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กุมอำนาจในพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเบ็ดเสร็จ รวมไปถึงมีรายงานที่อ้างว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีในคราวนี้ เขาจะนั่งควบเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือ “มท.1” ที่ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั่งอยู่ในตำแหน่งมานาน โดยมีการระบุว่า อาจโยกไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสืบแทน
หากพิจารณาในการปรับเปลี่ยนแบบนี้ มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน หากพิจารณาถึงสถานการณ์ทางการเมืองในวันข้างหน้าที่จะรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่อาจมีขึ้นในอนาคต เพราะตำแหน่ง มท.1 ก็ย่อมหมายถึงการคุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และที่สำคัญต้องไม่ลืม ก็คือ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่ไม่ว่าจะยื้ออย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ และตามกฎหมายใหม่นี้ ได้ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง ไม่ใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เหมือนกับการเลือกตั้งระดับชาติ หรือการเลือกตั้ง ส.ส.
เมื่อพิจารณาจากฐานอำนาจและความสำคัญที่มีผลทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นต่อเนื่องไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการ “เขย่าอำนาจ” ในลักษณะดังกล่าว นั่นคือ “พี่ใหญ่” ดูแลด้านความมั่นคง และคุมมหาดไทย ขณะที่ “พี่รอง” ขยับไปดูแลกองทัพ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ถือว่าลงตัว
อย่างไรก็ดี ความชัดเจนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เฉลยออกมาว่า สาเหตุที่ “บิ๊กป้อม” ต้องลงไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เพื่อไปจัดการปัญหาภายในจากความไม่ลงรอยกันของกลุ่มก๊วนต่างๆ ให้สงบลง
นั่นก็หมายความว่า ความเคลื่อนไหวทุกอย่างดังกล่าว ล้วนผ่านการหารือ และรับรู้กันมาแล้วจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในความหมายที่ว่า “3 ป.ยังแน่นปึ้ก”
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวล่าสุด เช่น ระหว่างที่มีการเปิดสวนสาธารณะลอยฟ้าเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานคร ก็มีการปรากฏตัวของ “3 ป.” โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำถึงแนวทาง “รวมใจไทยสร้างชาติ” อีกครั้ง ซึ่งหากมองในแง่ของความสามัคคีเพื่อก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการประกาศความพร้อมในทางการเมืองที่เวลานี้เหมือนกับว่า “กุมทุกอย่าง” เอาไว้ในมือแล้ว
เพราะหากมองในยังฝั่งตรงข้ามมีแต่เหี่ยวเฉา ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึงพรรคฝ่ายค้านที่ยังไม่มีใครโดดเด่นพอพึ่งพาได้ !!