เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเป็นแถลงการณ์หรือคำประกาศต่อประชาชนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อเย็นวันที่ 17 มิถุนายน ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ โดยเป็นการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เวลานี้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศต่อเนื่องกันเป็นเวลาเกือบ 24 วันแล้ว รวมไปถึงยอดผู้เสียชีวิต ก็ไม่มี หากยังรักษาระดับแบบนี้ ต่อไปอีกสองสามวันก็จะทำให้ประเทศไทยอยู่ในระดับการควบคุมโรคได้แล้ว
แม้ว่าเส้นทางความยากลำบากข้างหน้ายังอีกยาวไกล และหนักหนาสาหัส แต่อย่างน้อยในเมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศ ไม่มีผู้ป่วย หรือผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ แต่เมื่ออยู่ในสถานที่กักกันโรคของรัฐก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้ ซึ่งก็ได้มีการกำชับตลอดเวลาว่าห้ามประมาท “การ์ดอย่าตก”
ดังนั้นการรายงานสถานการณ์ดังกล่าวของ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือเป็นข่าวดีที่เป็นผลจากการที่คนไทยทั้งประเทศร่วมแรงร่วมใจกัน ฝ่าฟันด้วยกันมาอย่างยากลำบากและเจ็บปวด
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์อันยากลำบากข้างหน้า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ฝ่าฟันกันต่อไปนั้น ขณะเดียวกันก็ได้เรียกร้องให้คนไทย“ปรับตัว”เพื่อเข้ากับสถานการณ์ใหม่ ในแบบ “นิวนอร์มอล”เพราะทุกอย่างจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ดังนั้นหากต้องการให้“รอด”ก็ต้องปรับตัวให้ได้
แน่นอนว่าทุกการวิเคราะห์ต่างเห็นตรงกันว่าเส้นทางข้างหน้าของคนไทย ประเทศไทย ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าวิกฤตทุกครั้งที่เคยเจอมา เพราะคราวนี้ “อ่วมกันทั้งโลก”โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมหาอำนาจ คู่ค้าทางเศรษฐกิจของเรา พึ่งพาใครไม่ได้ ทุกประเทศต่างก็ต้องการเอาตัวให้รอดก่อนทั้งนั้น
สำหรับประเทศไทย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศว่าจะทำทุกอย่างในแบบ“นิวนอร์มอล”นั่นคือการ“ปรับตัวใหม่”ทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ตัวเอง การบริหารในรูปแบบใหม่ ที่ย้ำว่า “เปิดให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม”สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณที่ใช้สำหรับการฟื้นฟูเยียวยา จากพระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินมาใช้เพื่อการดังกล่าวจำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาทนั้น การเสนอโครงการ การใช้งบประมาณนั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า จะเปิดให้ทุกฝ่าย ทุกระดับมีส่วนร่วม ทั้งการร่วมเสนอโครงการ การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีย้ำว่าเขาจะเดินสายอีกครั้งเพื่อรับฟังแนวทางในการแก้ปัญหา และนำมาเป็นนโยบายใหม่ ที่ต่อไปนี้จะเน้นการทำงาน“เชิงรุก”มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับในช่วงที่ร่วมมือกันรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา เรียกว่านี่คือแนวทางใหม่ หรือ “นิวนอร์มอล”ของเขาที่ประกาศว่าจะนำมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาและรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังมาถึง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงจากองคาพยพทั้งในรัฐบาลและในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะในพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคนี้ แต่ในทางการเมืองแล้วเชื่อว่าหลายคนคงเห็นแย้ง เพราะแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นผู้บริหาร เป็นหัวหน้าพรรค แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน“ลุงตู่”เป็นนายกฯ และหากในอีกไม่กี่วันข้างหน้า “พี่ใหญ่”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่จริง ความเชื่อมโยงก็จะยิ่งชัดเจนไปใหญ่
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณากันถึงตัวบุคคลที่จะมาเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ตามที่ปรากฏในรายงานข่าว มันก็ยิ่งทำให้สังคมอาจมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคล ก็น่าจะทำให้สังคมมองด้วยความสงสัยว่า มันจะเป็นไปในแนวทาง“นิวนอร์มอล”ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเอาไว้ได้หรือไม่ เพราะดูแล้วมัน“ขัดแย้งกัน”พิกล อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของชาวบ้านจำนวนมากที่มองภาพคนพวกนี้เป็น “สีเทา” หรือ “สีดำ” ไปเลยก็มี
ดังนั้น หากพิจารณาจากแนวทางในการบริหารแนวทางใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องที่น่าสนใจชวนติดตาม แต่ในความเป็นจริงในอนาคตจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อได้เห็นตัวบุคคลที่เป็นองค์ประกอบทั้งในรัฐบาลและในพรรค ที่หลายคนล้วนถูกมองว่าเป็น “เสือโหย”มีที่มาน่าสงสัย มีเงื่อนงำ คนพวกนี้จะทำให้ "นิวนอร์มอล" ตามที่พูดได้หรือไม่ !!