xs
xsm
sm
md
lg

ตัดจบที่ “ลุงตู่” หยุดทึ้งเก้าอี้ รมต. (ชั่วคราว) !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เมืองไทย 360 องศา



หลังจากได้ย้ำชัดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อหน้าทุกคนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้ให้เห็นว่า การปรับคณะรัฐมนตรีเป็นอำนาจของเขาคนเดียว จะปรับเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิด “ยังไม่ต้องเสนอตัวกันมา” ใครมีหน้าที่อะไรก็ให้ทำให้ดีที่สุด แม้ว่าคำพูดดังกล่าวอาจจะไม่ได้ถอดมาแบบคำต่อคำ แต่ก็มีความหมายประมาณนี้แหละ

นั่นคือ ยังไม่มีความคิดปรับคณะรัฐมนตรีในตอนนี้ ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำงานให้เต็มที่ ไม่ต้องเสนอตัว (เสนอหน้า) กันมาในตอนนี้ พิจารณาจากความหมายคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อย้ำให้ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ ว่า การปรับคณะรัฐมนตรีจะไม่เกิดขึ้นหากเขาไม่เห็นชอบ และที่สำคัญ ไม่ต้องมีการ “เสนอหน้า” เข้ามา เพราะไม่มีประโยชน์ และไม่สมความปรารถนาแน่นอน เพราะสถานการณ์ยังไม่มีความเหมาะสม ขณะเดียวกัน เขามองถึงความเคลื่อนไหวภายในพรรคการเมืองที่แยกออกจากกัน โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐที่กำลังมีความพยายามให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการการบริหารพรรคใหม่ เป้าหมายก็คือตำแหน่งหัวหน้าพรรคจาก นายอุตตม สาวนายน ไปเป็นคนอื่น ซึ่งในที่นี้คาดหมายว่า จะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค และตำแหน่งเลขาธิการพรรค จาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่มีอย่างน้อยสองสามคนแสดงตัวอยากเป็น ซึ่งเวลานี้หลายคนก็รับทราบกันไปแล้ว เนื่องจากมีการรายงานความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

การย้ำให้เห็นถึงอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงการชี้ให้เห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา โดยเฉพาะเป็นช่วงของการฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ที่สำคัญก็คือ จากท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้รัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ นั่นก็เท่ากับว่า “ยังใช้บริการทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบัน” ที่นำโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่อไป อย่างน้อยก็ในช่วงระยะของการบริหารงบประมาณจำนวน 4 แสนล้านบาท ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผลกรระทบจากโรคระบาดดังกล่าวที่ผ่านสภาไปแล้ว


ดังนั้น หากเป็นตามนี้ก็หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังใว้ใจ “ทีมนี้” ในการถือกระเป๋าเงินต่อไป และที่สำคัญ ยังสำทับเสียงเข้มตามมาอีกว่า “ห้ามมีการทุจริต” ถึงขนาดประกาศใช้ตำแหน่งเป็นเดิมพันเลยทีเดียว

ทำให้ข่าวความเคลื่อนไหวที่มองกันว่าความเคลื่อนไหวตาม “แผนบันไดสองขั้น” เริ่มจากให้มีการเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐ เป็นสเต็ปแรกก่อน เนื่องจากมั่นใจว่า ต้องนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อนั่งในตำแหน่งสำคัญ และเข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการจัดการงบประมาณดังกล่าว ซึ่งหากได้เห็นท่าทีของ นายกรัฐมนตรีถือว่ายังไม่ได้ผล

ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามไทม์ไลน์ ก็ถือว่าเป็นช่วงที่กฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินกำลังเข้าสู่การพิจารณาในสภาอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาไม่นาน ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณฯ ก็เพิ่งผ่านวาระแรก มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่ง นายอุตตม สาวนายน ก็ยังเป็นประธานคณะกรรมาธิการในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีกทั้งถัดจากนั้นอีกไม่กี่วันก็จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 เข้าสภาตามมาอีก

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคลัง และทีมเศรษฐกิจ เนื่องจากยังต้องการความต่อเนื่อง เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ คงไม่อยากเปลี่ยนม้ากลางศึก ที่สำคัญ หากเปลี่ยนเชื่อว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีกำหนดการออกมาคร่าวๆ แล้วว่าจะมีการประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่ ในวันที่ 3 กรกฎาคม ก็คงว่ากันไป เป็นเรื่องภายในพรรคเท่านั้น คงไม่อาจ “ล้ำเส้น” ออกมาไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้

นอกเหนือจากนี้ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่มี “บางกลุ่ม” เสนอให้ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งควบเก้าอี้ มท.1 ซึ่งมีทั้งอำนาจบารมี สามารถบริหารจัดการไปถึงการเลือกตั้งคราวหน้า และที่สำคัญในเรื่องการบริหารโครงการงบประมาณ 4 แสนล้าน ทางกระทรวงมหาดไทยก็ถือว่ามีโครงการอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ที่สำคัญหากข่าวแบบนี้เป็นจริง แล้วคำถามก็คือ จะเอา “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่นั่งเก้าอี้ตัวอยู่ไปวางไว้ตรงไหน

งานนี้ถึงได้บอกว่ามันน่าปวดหัวไม่น้อย และจะด้วยสาเหตุนี้ด้วยหรือเปล่า ที่ทำให้ต้องรีบเบรกแบบ “ตัดฉับ” ก่อนที่ลุกลามทำให้บางคน “เคลิบเคลิ้ม” ไปมากกว่านี้ อย่างน้อยก็เพื่อหยุดความปั่นป่วนที่รออยู่ข้างหน้าแบบตัดไฟแต่ต้นลม ให้ทุกอย่างหยุดอยู่กับที่เอาไว้ก่อน และความเป็นไปได้หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริงๆ ก็น่าจะรอให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 64 ผ่านไปก่อน ค่อยมาว่ากันใหม่หรือเปล่า !!


กำลังโหลดความคิดเห็น