เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาดในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่ ที่จะต้องมีขึ้นภายใน 45 วัน และเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทุกทางแล้ว เชื่อว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่
ขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการพรรค ก็มีการคาดหมายกันเอาไว้แล้ว เนื่องจากมีรายชื่อแพลมออกมาให้เห็นอย่างน้อย 2-3 คน แต่ที่น่าจับตามอง ก็คือ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท รวมไปถึง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐเวลานี้ เป็นเรื่องที่น่าจับตายิ่งนัก นั่นคือ มีความรู้สึกของสังคมภายนอกเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประชาชนที่เคยเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อต้องการให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
หากพิจารณาจากองค์ประกอบภายในพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่า หลายคนต้องรับรู้กันมานานตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งแล้วว่า มาจากหลากหลายกลุ่มก๊วนการเมือง ทั้งรุ่นเก่า รุ่นเก๋า รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ก็มีไม่น้อยหากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรม ขณะเดียวกัน ในนั้นก็มีพวกที่ถูกสังคม “ยี้” จำนวนมาก หลายคนก็เป็นรัฐมนตรีกันในหลายกระทรวง
แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคการเมืองแต่ละพรรค ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อความกระฉับกระเฉง เพื่อการพัฒนาทางการเมืองเพื่อหวังผลให้ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคและประชาชนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งหลายคนในพรรคพลังประชารัฐ ก็พยายามจะอ้างเหตุผลในแนวทางดังกล่าว ที่ให้มองว่าการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แต่หากพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของสังคม กลับมองไปอีกแบบ นั่นคือ เป็นภาพของการเคลื่อนไหวเพื่อการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะการเข้ามาร่วมมีเอี่ยวกับงบประมาณ ที่มาจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินที่เกี่ยวข้องกับงบจำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาท ที่เพิ่งผ่านสภาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
หากย้อนกลับไปพิจารณาการเคลื่อนไหวดังกล่าว จากการที่กรรมการบริหารพรรคลาออกพร้อมกันจำนวน 18 คน ก็ย่อมส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคที่เหลืออีกจำนวน 16 คน ต้องพ้นไปด้วย และทำหน้าที่รักษาการ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน นับจากวันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นมา
ที่สำคัญ สังคมยังมองออกอีกว่า นั่นเป็นแท็กติกที่ต้องการให้ หัวหน้าพรรค คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พ้นไปนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านคงมองออกได้ไม่ยากว่า ความพยายามเคลื่อนไหวในครั้งนี้คงไม่ใช่มีเป้าหมายเพียงแค่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค รวมไปถึงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น เพราะนั่นเป็นเพียงขั้นตอนแรก ขั้นตอนต่อไปซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริง ที่ใครๆ ก็มองเห็นก็คือตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญบางตำแหน่ง ที่พวกเขามั่นใจว่า จะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สังคมกำลังจับตามองกัน ก็คือ บรรดาแกนนำที่มีการเคลื่อนไหวหลายคน เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ ได้หรือไม่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้หรือไม่ รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ หรือไม่
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากรายชื่อดังกล่าวย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่า ส่วนใหญ่ที่สะท้อนกลับมาล้วนมีแต่เสียง “ยี้” เป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากภายในพรรคก็ตาม แต่สำหรับในทางการเมืองแล้ว โดยเฉพาะการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกำลังรับศึกรอบด้าน แม้ว่าพลังของพรรคฝ่ายค้านจะอ่อนแอลงไป แต่ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าการเมือง “นอกสภา” นั้นน่ากลัวกว่า
เพราะเวลานี้ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล และ “ลุงตู่” เริ่มผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนเริ่มวางเฉย หรือหันหลังให้ เมื่อได้เห็นความเคลื่อนไหวแบบ “ยี้” ในพรรคแกนนำรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ความรู้สึกของสังคมก็ย่อมสำคัญ ซึ่งอาจจะมีไม่ต่างจากเสียงสนับสนุนในสภาก็ได้ เพราะตราบใดที่ฝ่ายสนับสนุนหันหลังให้ หลังจากเริ่มมีความรู้สึกว่า การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐที่เกิดขึ้น อาจมาจากการที่ “ลุงตู่” ขยิบตาให้ก็ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ของ “พี่ใหญ่” ก็อาจทำให้มองเห็นภาพแบบนั้นได้เหมือนกัน !!