คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
เรื่องรุกผืนป่านั้น ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ประชาชนผู้ยากไร้โดนจับกุมไปแล้วถึง 46,000 คดี บางคดีเล่นจับกุมคนทั้งหมู่บ้านร่วม 300 คนพร้อมกันก็มี โดยเจ้าหน้าที่ไม่ต้องเข้าไปรังวัดที่ดินใหม่ก่อนจับกุม แต่จับยัดเข้าคุกทันทีไม่รอข้ามวันเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่นักการเมืองที่เป็นพรรคพวกของตนสารภาพด้วยจำนนต่อหลักฐานว่า บุกรุกเข้าไปในป่าบริเวณนั้นจริง กินเนื้อที่เกือบ 2 พันไร่ ตอนหลังไม่รู้ใครช่วยเหลือกัน เหลือเพียง แค่ 600 ไร่ นี่บุกรุกมาแล้วเป็น 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐก็น่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วย ไม่เช่นนั้น น้ำประปา ไฟฟ้า จะเข้าไปได้อย่างไร แต่การดำเนินการกับนักการเมืองรายนี้ เจ้าหน้าที่โยกโย้ต่างๆนานา มีการตั้งกรรมการซ้อนกรรมการขึ้นมาพิจารณาเหมือนจะช่วยยืดเวลาซะอีก แถมบางคนทำตนเป็น “ เปา ” ประกาศแทนศาลเลยว่า ไม่ผิด คืนแล้วไม่มีความผิด
ในวงการฟุตบอล ตั้งแต่มีการรวมลีกเกิดเป็นฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2008 ปัญหาการตัดสินถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินที่เอนเอียง เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างน่าเกลียด ในยุคก่อนมีเสียงพูดถึงการพนัน โดยผู้บงการดันมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายอนาคตของผู้ตัดสิน เมื่อมีเกมการแข่งขัน การวางงานก็ตามมา หากผู้ตัดสินไม่ยินยอมรับงาน โอกาสในการลงทำหน้าที่ในระดับต่างๆย่อมถูกสกัดกั้น หมดอนาคต และหลุดจากวงโคจรไปเลย
บางกรณีอาจไม่ใช่เรื่องการพนัน แต่ก็ยังเป็นผู้มีอิทธิพลชี้เป็นชี้ตายอนาคตทางหน้าที่การงานของผู้ตัดสินอีกนั่นแหละที่เป็นมีส่วนสำคัญในเรื่องผลการแข่งขันที่ผู้ตัดสินต้องพยายามเป่าให้เป็นไปตามใบสั่ง เพราะมันมีผลต่อการคว้าแช้มพ์ของทีมของตน ดังนั้น ใครกุมบังเหียนสมาคมกีฬาฟุตบอล ที่เป็นองค์การที่กำกับดูแลผู้ตัดสินด้วยก็ย่อมมีท่อต่อไปถึงผู้ตัดสินโดยธรรมชาติ
เปาปุ้ม ผู้ช่วยศาสตราจารย์พงศธร เพิ่มพานิช อดีตผู้ตัดสินระดับฟีฟ่า ซึ่งสั่งสมความรู้ประสบการณ์มามากมาย เคยทำงานให้สมาคมฯ เป็นกรรมการผู้ตัดสิน ทำหน้าที่เป็นวิทยากรสอนเรื่องการตัดสินมาอย่างต่อเนื่อง ประวัติไม่มีด่างพร้อย ไม่รู้ไปเหยียบตาปลาใครเข้า มีอันต้องถูก “พักการใช้งาน ” เข้าจนได้ วันหนึ่งกำลังจะมีการอบรมโดยวิทยากรจาก ฟีฟ่า ซึ่งงานนี้ เปาปุ้ม ต้องได้รับการอบรมเพื่อนำความรู้ใหม่ๆไปสอนผู้ตัดสินไทย แต่แล้วก่อนหน้าการอบรมไม่นาน เขาได้รับการติดต่อทางลายน์จากเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเรื่องเอกสาร ความว่า “ อาจารย์ปุ้มคะ มีคำสั่งจากทางผู้ใหญ่ ไม่อนุญาตให้อาจารย์เข้าอบรมค่ะ ” แม้พยายามขอทราบเหตุผลก็ไม่มีความกระจ่าง จากนั้นก็หลุดวงโคจรไปโดยปริยาย
อีกเหตุผลหนึ่งในเรื่องการตัดสินที่ค้านสายตาแฟนบอลทั่วประเทศจนกลายเป็นเรื่องด่างพร้อย อื้อฉาวในวงการนั้น มีสาเหตุมาจากเรื่องที่แสนจะธรรมดาก็คือ ผู้ตัดสินมีความรู้ไม่เพียงพอ ประสบการณ์น้อยเกินไป ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะมีคนในสมาคมฯช่วยฉุดช่วยดึง ดังนั้น จุดสำคัญที่ทำให้วงการผู้ตัดสินของไทยยังอยู่ภายใต้การครอบงำของอำนาจมืดก็คือ ผู้ตัดสินยังอยู่ใต้ปีกของสมาคมกีฬาฟุตบอลนั่นเอง และยุคใดกลุ่มใดใครครองสมาคมฯก็ย่อมมีเสียงอื้ออึงจากแฟนบอลถึงเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการตัดสินที่เอนเอียงให้ประโยชน์ต่อทีมของผู้มีอำนาจอิทธิพลในสมาคมฯ อันนี้ผมต้องบอกว่า สำหรับกลุ่มบีจี ไม่มีการใช้อิทธิพลใดๆทั้งสิ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่ กลุ่มชลบุรี ก็ไม่เคยได้ยินความอื้อฉาวในการตัดสินดังกระฉ่อนเปรอะเปื้อน
ดังนั้น การรวมรวมอดีตผู้ตัดสินระดับฟีฟ่า ผู้ตัดสิน และผู้ควบคุมการแข่งขัน และบุคคลอื่นๆที่มีความรู้ประสบการณ์มาจัดตั้งเป็น สมาคมผู้ตัดสิน มีการจัดอบรมและพัฒนาผู้ตัดสินโดยผู้ตัดสินฟีฟ่าที่มีประสบการณ์ตัดสินระดับนานาชาติทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเป็นวิทยากร ทำหน้าที่กำกับดูแลผู้ตัดสินกันเอง พิจารณาให้คุณให้โทษผู้ตัดสินแยกออกมาเป็นอิสระจากสมาคมกีฬาฟุตบอลก็น่าจะเป็นหนทางให้วงการผู้ตัดสินปลอดจากอำนาจอิทธิพลที่มาพร้อมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลได้อย่างน้อยก็เปลาะหนึ่งครับ