เมืองไทย 360 องศา
ผลสำรวจต่อเนื่องกันสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา คงทำให้ “พี่น้อง 3 ป.” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คงหวั่นไหวพอสมควร เพราะผลสำรวจที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น บอกว่า ยังไม่มีผู้นำที่เหมาะสมด้วยเปอร์เซ็นต์สูงพอสมควร แม้ว่า “บิ๊กตู่” จะยังได้รับการยอมรับเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น แต่เมื่อมองกันในแง่ของความเหมาะสมในสายของชาวบ้านส่วนใหญ่ (ตามผลโพล) ที่ได้คะแนนน้อยมันก็น่าปวดใจ
ถัดมาก็เป็นผลสำรวจเกี่ยวกับเรื่องพรรคการเมืองที่ตัวเองเกี่ยวข้องไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่ล่าสุด ผลออกมาความนิยมลดลงอย่างฮวบฮาบเหลือราว 8 เปอร์เซ็นต์กว่า เมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ยังได้รับความนิยมไปถึงเกือบเท่าตัว และที่น่าจับตาก็คือ คำถามที่ว่าหากมีการเลือกตั้งในวันนี้จะเลือกใคร ก็กลายเป็นว่าเป็นพรรคก้าวไกลที่ชนะ
มันก็ทำให้น่าคิดว่าทัศนคติของชาวบ้านเปลี่ยนไปมาก เพราะถ้าเป็นไปตามนี้ ก็ต้องถือว่าการเมืองไทยกำลังจะพลิกโฉมหน้าไปครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในคราวต่อไป ทั้งในระดับท้องถิ่นหรือในระดับชาติก็ตาม
นาทีนี้แม้ยังไม่อาจสรุปได้เต็มร้อย เนื่องจากยังเป็นการสุ่มตัวอย่างเพียงไม่กี่คน และที่สำคัญ ยังมีคนที่ยังไม่ตัดสินใจ โดยเฉพาะคนที่ต้องการเลือกแนวทาง “การเมืองแบบใหม่” จำนวนมากที่สุด ซึ่งคล้ายกับพวกคิดว่า “น่าเบื่อ” ทุกพรรคในเวลานี้อะไรประมาณนั้น
อีกทั้งการเมืองไทยสามารถเปลี่ยนแปลงบวกลบพลิกผันได้เพียงชั่วข้ามคืน ลบวันนี้ พรุ่งนี้อาจกลายเป็นบวกพุ่งกระฉูด หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ที่เห็นชัดเหมือนกับที่ “บิ๊กตู่” หรือ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเจอมาก่อนหน้านี้ในช่วงเปรียบเทียบระหว่างก่อน และหลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ก่อนหน้านี้ หากจำกันได้ที่ความนิยมได้ทรุดลงอย่างหนัก เจอแรงกระหน่ำมาทุกทิศทางถึงขั้นสร้างกระแสดรามาจากฝ่ายตรงข้ามที่มาในแบบดูถูกเหยียดหยามสติปัญญา ทั้งที่ฝ่ายที่ด่าว่าคนอื่นก็ดูแล้วไม่ได้ฉลาดเท่าใดนัก ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพลพรรค รวมไปถึงคนในพรรคเพื่อไทย ที่มองดูหน้าตาและความคิดความอ่านที่สะท้อนผ่านคำพูดก็ไม่ได้แหลมคมอะไรนัก
แต่ก็อย่างว่าสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่ออยู่มานาน มันก็ย่อมมีเรื่องให้วิจารณ์มากเป็นธรรมดา อีกทั้งการดำรงอยู่ของเขายิ่งนานเท่าไร มันก็ยิ่งเกิดผลกระทบหลายอย่างตามมา มันก็ยิ่งต้องออกแรงเขย่าให้หนักมือยิ่งขึ้นอยู่แล้ว
ซึ่งก็ได้ผลไม่น้อย เพราะในเวลานั้นหากพิจารณาจากอาการแล้วก็ต้องบอกว่า “บิ๊กตู่” ทรุดหนักจริงๆ ถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด ร่างกายซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางหนึ่งหันมาพึ่งพาฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์แบบเต็มทีม มีการเปลี่ยนแปลงแบบหักมุม กันการเมืองออกนอกวง จนทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ ควบคุมโรคได้อยู่ในวงจำกัดจนได้รับเสียงชื่นชม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติ
ที่สำคัญ จากสถานการณ์ที่พลิกผันมาเป็นบวกดังกล่าวทำให้ “ลุงตู่” สามารถกระชากเรตติ้งกลับมาสูงลิ่วทิ้งห่างฝ่ายตรงข้ามแบบไม่เห็นฝุ่น อย่างไรก็ดี สถานการณ์บวกดังกล่าวกำลังถูกกระทบกระเทือนอีกครั้ง หลังจากเกิดกรณี “แย่งชามข้าว” กันในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคแกนนำที่สนับสนุนตัวเขา และสนับสนุนรัฐบาล รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองภายในเพื่อผลักดันให้ “พี่ใหญ่” คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นหัวหน้าพรรค ทำให้เกิดผลกระเพื่อมในด้านภาพลักษณ์อย่างหนัก
กระแสทางลบยังตามมาไม่หยุดหย่อนจากการไม่ดูตามม้าตาเรือซ้ำสอง เมื่อมีความพยามผลักดันให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พาสชั้นขึ้นมาเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” แม้ว่าจะไม่พูดให้ชัด แต่คนก็เข้าใจว่าจะเข้ามาแทน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจในปัจจุบัน แม้ว่าต่อมามีการปิดเกมว่าเป็นเพียงเป็นหนึ่งในทีมเขียนนโยบายของพรรคเท่านั้น รวมไปถึงยังเกิดกรณีของ “นายฌอน” อะไรนั่นเข้าไปอีก ที่โยงไปถึงการสร้างภาพให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรียกว่าประดังเข้ามาแบบรัวๆ ทั้งที่จะว่าไปแล้ว สาเหตุที่ “โดนหนัก” แบบนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ล้วนมีสาเหตุมาจาก “ภาพลักษณ์ที่เป็นลบ” ของ “พี่ใหญ่” ในสายตาชาวบ้านนั่นแหละ ซึ่งน่าแปลกใจก็คือ มันแก้ไม่หาย แม้ว่า “วงใน” ทั้งในรัฐบาล และในพรรคพลังประชารัฐ เขาจะมีบารมีแค่ไหน ชี้นกเป็นไม้แค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับในสายตาชาวบ้านหากไม่มีมุมบวก มันก็สร้างกระแสได้ยาก ก็ต้องถือว่าน่าหนักใจ
น่าหนักใจสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หนักใจสำหรับรัฐบาลโดยรวม ที่ภาพการเมืองมันต้องมีเรื่องของ “กระแส” มีส่วนประกอบสำคัญด้วย และแม้ว่านาทีนี้ผลสำรวจที่ออกมายังวัดอะไรไม่ได้มากก็ตาม แต่ตราบใดยังไม่ดีขึ้น และถูกกระหน่ำแบบรายวันแบบนี้ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากกลุ่มก๊วนการเมืองในพรรคที่ยัง “ห้าวจัด” ไม่แคร์สังคมภายนอก มันก็เหมือนการ์ดตก โอกาสที่จะล่องจุ๊นก่อนเวลาก็เป็นไปได้เหมือนกัน อย่าทำเป็นเล่นไป !!