xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ที่แท้ก็ “ธานอส” ดีดนิ้วปิดตำนาน “4 กุมาร” จับตาขุมทรัพย์ “คลัง-พลังงาน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสัปดาห์ - “โล่งอก-โล่งใจ” คือความรู้สึกแรกที่ อุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง บอก หลังจากนำทีม “สี่กุมาร” ที่ประกอบด้วย อุตตม, “เฮียสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน, “ดร.ดำ” สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.อุดมศึกษาฯ และ “ตี๋กอบ” กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เป็น “กุนซือ” อยู่เบื้องหลัง พากันตัดสินใจลาออก สละ “เรือเหล็ก” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “ถอดหัวโขน” จากแกนนำพรรคการเมืองและรัฐมนตรี ในเวลาไล่เลี่ยกัน

แต่เอาเข้าจริง งานนี้ ต้องบอกว่าเป็นฝีมือของ “ธานอส” ที่ตัดสินใจดีดนิ้วสลัดทีมสี่กุมารไปตามนิยาม “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” โดยเป้าหมายก็คือต้องการส่ง “คนของตัวเอง” ไปนั่งคุม 2 กระทรวงสำคัญคือ “กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน”

ปฏิบัติการดีดนิ้วของธานอสในครั้งนี้จัดว่า “ไม่ธรรมดา” และผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ขณะที่ทีมสี่กุมารก็รับรู้ถึงสัญญาณชัดๆ ที่ส่งผ่านออกมาเป็นระยะแรงกว่า 5 G จึงตัดสินใจโบกมือลาเพื่อให้เป้าหมายให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

เบื้องลึกส่งไลน์ถึง “เฮียกวง”
หากมองในแง่ดี ก็พอพูดได้ว่า ในความโหดร้าย ก็มีความสวยงาม เจืออยู่ไม่น้อย

เพราะการที่ “ทีมสมคิด” ยกทีมลาออกโดยไม่งอแงสร้างปัญหาเพิ่ม ก็ถือเป็นการยกระดับตัวเองจาก “4 กุมาร” ที่ถูกค่อนขอดว่าไม่ประสีประสาทางการเมืองขึ้นเป็น “4 สุภาพบุรุษ” ในทันที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยืนยันว่า จากกันด้วยดี แบบไม่คิด “เผาบ้านเก่า”

แต่เอาเข้าจริงงานนี้ต้องบอกว่า “โหด” ไม่น้อย เพราะ “เบื้องหลัง” ของการส่งข้อความทางไลน์ส่วนตัวถึง “เฮียกวง” จน “ทีมสี่กุมาร ต้องตัดสินใจลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ปรากฏต่อสาธารณชน

ข้อความสั้นๆว่า “รู้สึกลำบากใจ รู้สึกแย่ ไม่รู้จะพูดต่อหน้าอย่างไร” อาจมองดูว่า เป็นการจำยอมด้วยภาวะบีบคั้น แต่เอาเข้าจริงผ่านการคิดวิเคราะห์และวางแผนมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

กล่าวคือ หลังจาก “นายสมคิด” ได้รับข้อความ ก็ได้โทรศัพท์กลับไปหา “พล.อ.ประยุทธ์” ทันที โดยนายกฯ ได้พูดกับนายสมคิดว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ด้วยเหตุผลทางการเมือง ซึ่งนายสมคิดตอบนายกฯ ว่า ไม่มีปัญหา ขอให้สบายใจได้ รู้ถึงความจำเป็น เข้าใจว่าในทางการเมือง นายกฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องกังวล

บทสนทนาดังกล่าวทางหนึ่งเป็นการสารภาพต่อสาธารณชนว่า การปรับคณะรัฐมนตรีมิได้ขึ้นอยู่กับผลงานและความสามารถของรัฐมนตรีในการบริหารประเทศ และมิใช่การปรับเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการปรับด้วยเหตุผลทางการเมืองที่มุ่งการจัดสรรผลประโยชน์และอำนาจของนักการเมืองที่เป็นฐานของรัฐบาลเป็นหลัก

สังคมอาจมองว่าเป็นการปรับเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เป็นการปรับเพื่อลดปัญหาคลื่นใต้น้ำที่เกิดจากแรงปรารถนาแห่งอำนาจของแกนนำพรรค

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้มิได้เกิดจากแรงกดดันภายในพรรคหรือความจำเป็นทางการเมืองเพียงประการเดียว เพราะมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่า งานนี้ “ธานอสเอาด้วย”

เหตุผลที่ดีดนิ้วจนตัดสินใจส่งไลน์ไปถึง มูลเหตุมาจากการตัดสินใจลาออกจาก “สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ” ของ “อุตตม สนธิรัตน์และกอบศักดิ์” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐตกต่ำถึงขีดสุด ด้วยประชาชน โดยเฉพาะ “กองเชียร์” พากันร้อง “ยี้” ระงมไปทั้งแผ่นดินเพราะเหลือแต่ฝูงซอมบี้ที่อยากจะเข้ามามีอำนาจ

ที่สำคัญคือเห็นว่า “ทีมสี่กุมาร” ไม่อยู่ในโอวาทหรือไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ จึงตัดสินใจดีดนิ้วเพื่อให้พ้นหูพ้นตาไปในเร็ววัน

หรือพูดง่ายๆ ว่า ฉุนขาดจนไม่อาจร่วมงานกันต่อไปได้

นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือการที่ต้องการผลักดัน “เด็กในคาถา” มานั่งเก้าอี้ใหญ่ที่หลายคนหมายมั่นปั้นมือ นั่นก็คือ “กระทรวงพลังงาน” ที่เป็น “โควตาส่วนตัว” ตั้งแต่ทำรัฐประหารเรื่อยมาจนถึงรัฐบาลเลือกตั้ง ซึ่งเด็กในบ้านคนที่ว่านั้นได้รับการยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าคือ “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร”

ที่ผ่านมา “ไพรินทร์” ได้รับความไว้ใจให้ไปฝึกวิทยายุทธ์ในหลายกระทรวง เช่นช่วยงานกระทรวงคมนาคม ก่อนโยกไปเป็น รมช.ศึกษาธิการ สมัย “รัฐบาล คสช.” ทั้งๆ ในความเป็นจริงแล้วเขาคือเทคโนแครตด้านพลังงานคนสำคัญของประเทศ

แปลไทยเป็นไทยคือ สามารถจับวางไปไว้ตรงส่วนไหนก็ได้

ดังนั้น นักการเมืองที่หมายมั่นปั้นมือในเก้าอี้นี้และวิ่งล็อบบี้กันตีนขวิดน่าจะได้รับความผิดหวังกลับไป เว้นเสียแต่ว่าจะมี “ดีลบางอย่าง” ที่ทำให้สามารถเปลี่ยนใจในภายหลัง

ทีมงานสี่กุมาร “อุตตม สนธิรัตน์ กอบศักดิ์และสุวิทย์” ในวันที่ยื่นหนังสือลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน การส่งไลน์บอกเลิกก็น่าจะเป็นด้วยเหตุผลอีกประการหนึ่งว่า “ดีลรัฐมนตรีคนนอก” ลงตัว ด้วยก่อนหน้ามีกระแสข่าวว่า มีการทาบทาม “คนนอก” เพื่อให้มาคุมทีมเศรษฐกิจไว้หลายต่อหลายคน แต่ถูก “เซย์โน” มาตลอด กระทั่งมีว่า “ทีมสมคิด” อาจได้อยู่ต่ออย่างน้อยๆไปถึงผลักดัน “งบประมาณ 2564” ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.ด้วยซ้ำ เพราะ “แมวมอง” ทำท่าจะจนตรอก หาตัวแทนไม่ได้

มีการ “โยนหิน” ชื่อ “คนนอก” ออกมาเป็นแผง ตั้งแต่ ปรีดี ดาวฉาย นายกสมาคมธนาคารไทย, ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม และอดีตผู้บริหาร ปตท., สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตผู้บริหารพีทีทีจีซี ในเครือ ปตท., กานต์ ตระกูลฮุน อดีตผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี, บุญทักษ์ หวังเจริญ อดีตผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เพิ่งถูกดึงไปเป็นบอร์ดการบินไทย หรืออย่างรายของ ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ที่ “นายกฯตู่” ชื่นชมในฝีไม้ลายมือ จนระยะหลังพาติดคณะไปแทบทุกที่

แต่คนนอกที่มีส่วนสำคัญอีกคนหนึ่งในการดีดนิ้วครั้งนี้นี้ก็คือ “ปรีดี ดาวฉาย”

เมื่อได้รับสัญญาณตอบรับกะทันหันจาก “คนที่ไม่ได้อยากมา” ก็คงเก็บ “ความลิงโลด” ในใจไม่อยู่ จนต้องเลือกใช้ไลน์ขณะกำลังลงพื้นที่ จ.ระยอง กับภารกิจ “กู้หน้า” ครั้งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น กรณี “ศบค.การ์ดตก” ปล่อยคนติดโควิด-19 เพ่นพ่านไปทั่ว ทำคนทั้งจังหวัดหวาดผวา แทนการพูดคุยแบบ “เฟซทูเฟซ” ที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนหรือตำแหน่งระดับนี้ หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะบอกผ่าน “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เหมือนเช่นเคย



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หนักไปกว่านั้นคือ เกิดความย้อนแย้งขึ้นจนอดนึกขำไม่ได้ เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เคยมีการอรรถาธิบายว่า โควตารัฐมนตรีเป็นของพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นอยู่กับว่าพรรคจะส่งใครมา กรณีอุตตมก็เพราะเป็นหัวหน้าพรรค กรณีสนธิรัตน์ก็เพราะเป็นเลขาธิการพรรค และลูกพรรคพลังประชารัฐก็ประกาศดังไปทั่วเจ็ดคุ้งน้ำว่า ไม่เอาโควตา “คนนอกพรรค” แต่เหตุไฉนการปรับครม.เที่ยวนี้ถึงได้มีชื่อ “ปรีดาและไพรินทร์” ลอยมาได้

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงละครทางการเมือง ซึ่งสุดท้ายก็ “โป๊ะแตก” เพราะโดนจับไต๋ได้ว่า งานนี้ไม่ใช่แค่พรรค แต่ “ธานอสเอาด้วย”

อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจาก “ดีดนิ้ว” จนการเมืองไทยเข้าสู่ “New Normal” แล้ว ธานอสจะยังมีพลังเหมือนเดิมหรือไม่ หรือจะเป็นแบบธานอสในภาพยนตร์อเวนเจอร์ที่สังขารร่อแร่

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า คำประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศตามวิถีใหม่ก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนกลายเป็นสิ่งที่ปราศจากความหมายแม้แต่น้อย เพราะสิ่งปรากฏคือ “การเมืองเก่า” ล้วนๆ ชนิดที่ไม่มีอื่นเจือปนแม้แต่นิดเดียว

ถ้าจะมีอะไรที่ใหม่หน่อยก็น่าจะเป็นเรื่อง “อำนาจ” เพราะทรงแล้วน่าจะเดินไปในแนว “ศบค.โมเดล” ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยที่ตัวนายกฯ นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ โดยเฉพาะกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณออกมาหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งการปรับ ครม.ครั้งนี้ด้วยว่าต้องการเป็น “หัวหน้าทีม”

ไพรินทร์ ชูโชติถาวร
แบ่งแยกแล้ว “3 ป.” รวบอำนาจ
แต่ก็ใช่ว่าที่ “เด็กดื้อ” อาละวาด แล้ว “ผู้มีอำนาจ” ทั้ง “ลุงตู่-ลุงป้อม” รวมไปถึง “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในนาม “พี่น้อง 3 ป.” จะไม่พอใจ

เพราะการที่ “นักการเมือง- นักเลือกตั้ง” แบ่งกลุ่มก๊วนต่อรอง แล้วหันมาซัดกันนัวเนีย ก็ทำให้การปกครองทำได้ง่ายขึ้น ตามสูตร “แบ่งแยกแล้วปกครอง”

ดีกว่าปล่อยให้ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” เกิด “สามัคคี” เป็นเนื้อเดียวกันขึ้นมา แล้วมารวมพลังกันต่อรอง ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรีที่จะโดนขี่คอ อาจลามมาถึง “ลุงป้อม” หรือ “ลุงตู่” ที่จะโดนไปด้วย

สะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองยิ่งตีกันเละแค่ไหน อำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.” จะยิ่งเบ่งบาน แถมรุกคืบมากินในส่วนของนักการเมืองเพิ่มทุกขณะด้วย

อย่างว่า “นักการเมือง -นักเลือกตั้ง” เป็นสายพันธุ์พิเศษ เวลาเป็น “เด็กดี” ก็ดีใจหาย ถ้าคิดเป็น “เด็กดื้อ” กันขึ้นมา ก็หยุดไม่อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาไม่ได้ “ขนม” ที่ต้องการ

เพราะนักการเมืองในคราบ “เด็กดื้อ” ที่ “ลุงๆ” เลี้ยงไว้เป็นประเภท “เสือหิว-เสือโหย” วิวัฒนาการมาเป็น “ฝูงซอมบี้” กระเหี้ยนกระหือรือจ้องเขมือบ “ขุมทรัพย์” แบบไม่สนภาพลักษณ์ “คนดี” ของ “ลุงตู่”

เมื่อ “เด็กดี” อยู่ไม่ได้ เปิดทางให้ “เด็กดื้อ” ประเภทไม่ได้ดั่งใจลงไปแดดิ้นกับพื้นเข้ามามีอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ และในรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “คนนอก” ที่ “บิ๊กตู่” ดึงเข้ามาช่วยงาน ไม่พ้นสภาพถูก “ขี่คอ” แบบที่ “ทีมสมคิด” ถูกย่ำยีมาแล้ว

ขนาด “ทีมสมคิด” ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดและร่วมสร้างพรรคมาด้วยกัน ยังถูกกระทำได้ นับประสาอะไรกับ “คนนอก” ที่จะหลีกพ้นสถานการณ์เยี่ยงนี้ ซึ่งละครการเมืองฉากเก่าอาจย้อนรอยเดิมคือ “ยืมมือนักการเมืองกำจัดทิ้ง” ได้ตลอดเวลาถ้าคุมไม่ได้

หากกระทรวงสำคัญที่เป็น “หัวใจ” ในการฟื้นเศรษฐกิจ เรียกศรัทธาให้รัฐบาล ถูก “ซอมบี้” ต่อรองเอาไปปู้ยี่ปูยำ ก็เท่ากับนับถอยหลังเตรียมลาโรงกันได้เลย

แต่หาก “บิ๊กตู่” แข็งขืนไม่ให้ตามที่เรียกร้อง ดีไม่ดีจะก่อหวอดลามมาไล่นายกฯ

อย่าดูเบาเหตุการณ์ “สภาฯล่ม” เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ป่านนี้ “ลุงตู่ -ลุงป้อม” คงจับมือใครดมได้แล้วว่า ฝีมือใคร ที่ไม่ใช่ “ฝ่ายค้าน” แน่นอน

ไม่ต้องมองลึกซึ้ง “เกมตื้นๆ” หย่อนระเบิดโชว์ว่า หากไม่ได้ดั่งใจ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แล้วใครที่มีความสามารถกดปุ่มสั่ง ส.ส.พลังประชารัฐให้หายตัวไปจากห้อง หรืออยู่ในห้องแล้วไม่กดแสดงตัวได้

น่าแปลกเหตุการณ์ “สภาฯล่ม” วันก่อน น่าจะทำให้ “ประธานวิปรัฐบาล” อย่าง “เฮียยักษ์-วิรัช” จะเสียเครดิต แต่กลับทำให้ “ผู้ใหญ่” เห็นความสำคัญของ “มืองาน” อย่าง “วิรัช” แทนซะอย่างนั้น และอาจทำให้รัฐบาลต้อง “เอาใจ” โดยใส่ชื่อ “วิรัช” เข้าไปเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 แทนที่ “อุตตม” ที่ลาออกจาก รมว.คลัง ไปก็เป็นได้

แล้วก็ต้องจับตาไปกันต่อว่า เมื่อถึง “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564” กลับเข้าสู่สภาฯในวาระ 2-3 เวลานั้นสถานการณ์ทั้งในคณะรัฐมนตรี และในพรรคพลังประชารัฐ คลื่นลมจะสงบแล้วหรือไม่

แต่ถ้ายังไม่จบก็น่ากลัวจะต้องกลับไปเข้า “คูหา” กันใหม่

เพราะกติกามีว่า หาก “กฎหมายการเงิน” ไม่ผ่านสภาฯ ไม่มีทางอื่นต้อง “ยุบสภา” โดยปริยาย โดยมีเหตุการณ์ “สภาฯล่ม” ครั้งล่าสุดที่เป็น “หนังตัวอย่าง”

เป็นวงจร “การเมืองน้ำเน่า” ใช้เสียง ส.ส.กดดันต่อรอง ขู่กันไปมาว่า อยู่กันไม่ได้ก็ยุบสภา อยู่กันแบบนี้เห็นทีจะเละตุ้มเป๊ะเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะอีกฝั่ง “ประยุทธ์” ที่มีตัวช่วยอย่าง “250 ส.ว.” ก็ไม่ใช่ “หมูในอวย” คงไม่ยอมถูกผลักเข้า “ทุ่งสังหาร” ง่ายๆ

หากเร็วๆ นี้ “ลุงตู่” ชิงตัดรำคาญ “เซตซีโร” ยุบสภาว่ากันใหม่ ก็อย่าได้แปลกใจ.



กำลังโหลดความคิดเห็น