ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ถ้าโรงไฟฟ้าชุมชนไม่เกิด ต้องด่าใคร ? เมื่อมือดีปล่อยข่าวล็อบบี้ฝุ่นตลบ เงินสะพัด แถมเป่าหู “ลุงตู่” ส่วน “ลุงป๊อก” ผสมโรง “ขยะข้าต่องมาก่อน” เข้าทาง “สมศักดิ์” เตะสกัดเพื่อรอ “สุริยะ” มาเคลม ?
ข่าวล่าฟังว่า “โรงไฟฟ้าชุมชน” ที่เป็นที่หมายมั่นปั้นมือของ “รัฐบาลลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจฐานรากให้พลิกฟื้นจากพิษวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างความมั่นคงทางพลังงานแก่ชุมชนต้องหยุดกับที่ เพราะผ่านมาแล้วหลายสัปดาห์ จนแล้วจนรอดที่ประชุม ครม. ก็ยังไม่ได้หยิบเอาแผน PDP หรือแผนการใช้พลังงานของประเทศมาพิจารณาสักที ทั้งๆ ที่แว่วว่า แผน PDP จ่ออยู่ที่โต๊ะ ครม.อยู่รอมร่อ รอแค่การเคาะเท่านั้นว่าจะเอากันอย่างไร
พูดง่ายๆ ว่า ถ้าแผน PDP ไม่ผ่าน ครม.โรงไฟฟ้าชุมชนก็ไม่เกิด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรับซื้อไฟฟ้า รวมตลอดทั้งแผนที่แก้ไขปรับปรุงมาตั้งต้นปีประมาณ 1,900 เมกะวัตต์ โดยจะรับซื้อเพื่อเข้าระบบในปี 2563-2565 จำนวน 700 เมกะวัตต์ รวมไปถึงตัว Quick Win หรือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าระยะเร่งด่วน 100 เมกะวัตต์ ที่ต้องเลือนการประกาศ... เลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาตั้งแต่ เม.ย. ช่วงโควิดพีกๆ จนมาถึงวันนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้
อย่าว่าแต่คนในวงการธุรกิจพลังงานที่คอยติดตามถามข่าวกัน ชาวบ้านชาวชุมชนก็พากันงงงวยสงสัยกันว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันหรืออย่างไร ก็ไหนรัฐบาลและลุงตู่ก็พูดเสมอว่า นี่จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะทำความฝันของชุมชนที่อยากจะโรงไฟฟ้าใช้กันเองในชุมชน
ระหว่างที่สงสัยอยู่นี้ ก็มี “มือดี” ฉวยโอกาสช่วงที่ ครม.ติ๊ดชึ่ง เต้นชะช่ะช่า ปล่อยข่าวลือว่า กำลังมีขบวนการหาประโยชน์จากโรงไฟฟ้าชุมชน จัดสรรปันส่วนแบ่งโควตากันเรียบร้อย ตั้งแต่ Quick Win 100 เมกะวัตต์ จะมีการปล่อยผีโรงไฟฟ้าที่เคยยื่นมาแล้วแต่ไม่ทันบ้าง คุณสมบัติไม่ผ่านรอบที่แล้วบ้าง เข้ามารอบนี้ การันตีล็อกผลให้จ่ายเท่านั้น เท่านี้ ไปจนถึงโครงการใหม่ 700 เมกะวัตต์ จัดคิว จัดลำดับ ตีตั๋วเด็ก ตีตั๋วผู้ใหญ่ กันเรียบร้อย
เรียกว่า ล็อบบี้กันฝุ่นตลบตั้งแต่ท้องถิ่นไล่มาถึง คณะกรรมการกำกับพลังงาน ไปกระทรวงพลังงาน ทุกขั้นทุกตอนล้วนแต่บอกว่ามีเงินพร้อมจะสะพัด รอเพียงให้ครม.อนุมัติ สัญญาว่าจ่ายครบจบแน่
แว่วว่า “มือดี” ยังส่งคนไปเป่าหูนายกฯลุงตู่ อีกด้วย หวังว่านายกฯจะเทกแอคชั่น อย่างน้อยถ้าลุงตู่เชื่อ สั่งให้ตรวจสอบ หรือสั่งให้ชะลอการนำแผน PDP เข้า ครม. ก็ถือว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
อย่างแรกเลยได้ดิสเครดิต “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน ผู้รับผิดชอบและผลักดันโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ว่าคุมไม่ได้ ปล่อยให้มีการวิ่งเต้นทุจริต ซึ่งว่ากันตามกระแส หากต้องปรับ ครม. ข้อกล่าวหานี้ก็อาจจะทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีพลังงาน ที่หมายปองของกลุ่มอำนาจใหม่ในพรรคพลังประชารัฐ แซะเจ้าของเดิมได้ง่ายขึ้น
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ว่า เรื่องการปล่อยข่าวทำนองนี้จะไม่มี แต่ “สนธิรัตน์” ประกาศชัดแจ้งทุกครั้งว่า “สมัยก่อนจะโกงกินกันอย่างไรไม่ทราบ แต่ไม่ใช่สมัยนี้แน่นอน”และเป็นที่ทราบกันในวงการ หรือแม้แต่ผลโพลก็ระบุว่า “สนธิรัตน์” เป็น รมว.ที่ได้รับความไว้วางใจในการทำงานตรงไปตรงมาเบอร์ต้นๆ สำหรับโรงไฟฟ้าชุมชน ก็ถือว่าได้รับมอบหมายภาระกิจจากนายกฯลุงตู่โดยตรง
อย่างที่สอง ก็หวังจะกินรวบผลประโยชน์จากการอนุมัติโรงไฟฟ้าชุมชนเอาไว้เสียเอง ตีกันรายอื่นๆ เคาะกะลาให้รู้ว่า ใครเป็นใครให้วิ่งให้ถูกทางนั่นเอง!!
ทีนี้ถามว่า มือดี กลุ่มนี้เป็นใคร นั้นก็คงสืบกันได้ไม่ยาก เอาเป็นว่า ใครได้ประโยชน์จากเบื้องหลังเรื่องนี้ ? ก็ขอให้จับตาดูกันให้ดีๆ
จากกระแสข่าวอีกเช่นกัน ถ้าจะถามว่า ใครกันบ้างที่หมายปองเก้าอี้พลังงานที่คุมขุมทรัพย์หลายแสนล้านนี้ ที่แน่ๆ ย่อมเป็น ก๊วน-ก๊ก แกนนำคนสำคัญที่ล้มโต๊ะกรรมการบริหารพรรคชุดเก่า ก็ต่างหวังกันทั้งนั้น บังเอิญที่ผ่านมาคนที่ออกตัวแรงมากอย่าง “สองมิตร” สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กับ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม ก็คือ หนึ่งในนั้นที่ถูกพูดถึงกันหนัก โดยสมศักดิ์ ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีศิลปะในการสื่อสาร เรื่องโยนหินถามทางเพื่อเช็กกระแส เกมการเมืองต้องบอกว่า หนึ่งไม่เป็นสอง ในวงการนักการเมือง
เมื่อมือดีปล่อยข่าว สปอตไลต์ ก็เลยส่องไปที่ “สมศักดิ์” ร่ำลือกันว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังงานนี้ เพราะหากสมศักดิ์จะงัดฟอร์ม เตะสกัด-เสียบแทง ออกมาอย่างสุดยอดเหมือนเกมฟุตบอลคงไม่มีใครเทียบชั้น ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อหวังให้ “สุริยะ” มาเคลม มาคุมการดูแลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเอง เก็บไว้หาตังค์เองใช่หรือไม่ ?
คำถามยุบยั่บมาพร้อม แมลงหวี่แมลงวันตอมข่าว คนที่เมาท์กันก็ว่าไปต่างๆ นานา คิดกันไป ส่วนจะจริงหรือไม่จริง ไม่มีใครทราบได้ “สมศักดิ์” เท่านั้นที่รู้ นอกจากว่ากันไปตามข่าว เพราะ “สุริยะ” เคยตกเป็นข่าวอยากจะมานั่งว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เจ้าตัวเองก็ยอมรับมีกระแสนี้จริง
ว่ากันว่า ตอนนี้ “สุริยะ-สมศักดิ์” ก๊วนสองมิตร อยากได้อะไร อยากตะกายดาวไปให้ถึงฟ้า ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่สู้อุตส่าห์เป็น “ทหารเอก” ให้ลุงตีเมือง พปชร. แตกมาแล้ว ดังนั้น ก็ย่อมหวังถูกรางวัลตอบแทนเป็น รมว.ตัวใหญ่ กระทรวงเกรดเอ ก็เที่ยวนี้
นี่เป็นเรื่องมโนกันอยู่ ก็โปรดติดตามกันต่อไป แต่ในความเป็นไปซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากข่าวลือปล่อยเรื่องวิ่งเต้นแล้ว เรื่องโรงไฟฟ้าชุมชน ยังไปเกี่ยวข้องกับ มหาดไทย ในฐานะฝ่ายปกครองท้องถิ่นชุมชน หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากมหาดไทยด้วยก็ยากที่แผน PDP จะผ่าน
แว่วว่าการเข้ามาผสมโรงของ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เพราะไม่ค่อยจะปลื้มโรงไฟฟ้าชุมชนสักเท่าไหร่ ด้วยมหาดไทยเองมีโครงการที่ต้องการผลักดันเป็นโรงไฟฟ้าขยะมากกว่า บนความเชื่อที่ว่า โรงไฟฟ้าขยะสามารถเป็นตัวแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ชุมชนได้ แถม “ลุงป๊อก” ก็เชื่อโดยส่วนตัวว่า มหาดไทย ปูทางเรื่องขยะมานานแล้วย่อมมีความเชี่ยวชาญ และจะเป็นผลงานได้ เข้าทำนอง “ขยะข้าต้องมาก่อน” โรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าขยะก็มีปัญหาอุปสรรคทำให้หลายๆ พื้นที่หยุดชะงักและล้มโครงการไป หากแผน PDP ตอบโจทย์เรื่องนี้ “ลุงป๊อก” ค่อยจะรับพิจารณายกมือสนับสนุน
ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่เกมการปล่อยข่าวทำลายกัน ลุงตู่ ถูกเป่าหู ลุงป๊อก กอดขยะ สมศักดิ์ดันสุริยะวอนนาบี รมว.พลังงาน ... ถ้างานนี้โรงไฟฟ้าชุมชนไม่เกิด ต้องด่าใครดี ?
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.
** ปล่อยนักการเมืองอยู่เหนือนายกฯ อหังการ์ของ “วิรัช” ปล่อยสภาล่ม และลิ่วล้อ “ชัยวุฒิ-สิระ” ออกมาข่มขู่ปรับ ครม. หรือว่านี่คือการเมือง “นิวนอร์มัล” ของลุงตู่?
หลังกลุ่ม “วิรัช-แฮงค์-เฮ้ง-2 มิตร และแนวร่วม” ก่อการยึดพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคสำเร็จ ก็ตามมาด้วยปฏิบัติการกดดัน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เข้าสู่โหมดปรับ ครม.
จากนั้นก็มีการปล่อยข่าวรายวันว่า ถึงคิวใครจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ใครจับจองกระทรวงไหน ใครจะมาดูแลด้านเศรษฐกิจ คนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่แล้วก็หวังจะ “อัปเกรด” ไปคุมกระทรวงที่มีความสำคัญ มีผลประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม สร้างความปั่นป่วนกับรัฐบาล โดยเฉพาะ “ลุงตู่” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่พวกเขามักบอกกันว่าเป็นผู้มีอำนาจเต็มแต่เพียงผู้เดียวในการปรับ ครม.
เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอกับผู้ที่ต้องการจะเป็นรัฐมนตรี ...ประเด็นข่าวปรับ ครม.จึงเป็นคำถามรายวันที่นักข่าวต้องถาม “ลุงตู่” ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า ...ขอให้เชื่อมันในตัวผม ...ผมจะนำพาประเทศชาติผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ...การปรับครม. เป็นวิถีทางทางการเมือง เราต้องคุยกับพรรคการเมือง พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามกลไกทางการเมือง ขอให้ใจเย็นๆ...
ขณะที่ “ลุงตู่” บอกให้ใจเย็นๆ แต่ผู้ที่ “กระสัน” จะเป็นรัฐมนตรีนั้น ใจร้อนเหมือนไฟลุก !!
มีการเคลื่อนไหวกดดันกันทุกทาง แม้แต่เหตุการณ์ “สภาล่ม” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในแผนการบีบ “ลุงตู่” จาก “วิรัช รัตนเศรษฐ” ที่เป็นประธานวิปรัฐบาล เพราะจำนวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ขาดไป 53 เสียงนั้น เป็นเสียงของพรรคพลังประชารัฐ มากสุดถึง 27 เสียง และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ใน “สายวิรัช” จึงมีการมองกันว่าเหตุการณ์สภาล่ม เป็น “ละคร” ที่ “วิรัช” เซตขึ้นมาเพื่อ “โชว์พาว” ให้ผู้ใหญ่ได้เห็น ...เป็นการประท้วงในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ !!
ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าลุงตู่ ตบหน้ารัฐบาล!!
ต่อมาเมื่อ “กลุ่มสี่กุมาร” ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มผู้ก่อการยึดพรรคก็รุกคืบจะยึดกระทรวงที่กลุ่มสี่กุมาร ดูแลอยู่ คือ กระทรวงการคลัง ที่มี “อุตตม สาวนายน” เป็นรัฐมนตรีว่าการ ...กระทรวงพลังงาน ที่ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ดูแลอยู่ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ที่ สุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นกระทรวงที่อยู่ในโควตา ที่ “ลุงตู่” ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะจัดสรรให้ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ไว้วางใจได้มากำกับดูแล
และเพื่อความชัดเจนนักข่าวก็ได้ถาม “ลุงตู่” ว่า กระทรวงที่ “กลุ่มสี่กุมาร” ดูแลอยู่นี้ ถือว่าเป็นโควตาของนายกฯ ใช่หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า... เดิมก็เป็นเช่นนั้นอยู่ และเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น วันนี้ต้องไปดูว่าโควตาเหมาะสมแล้วหรือยัง ใครจะได้เพิ่ม ใครจะได้ลด อย่างไรก็ไปว่ากันอีกที ... คำตอบนี้ออกไปในทาง “แบ่งรับ แบ่งสู้” เหมือนจะบอกว่าเป็นโควตาของนายกฯ แต่ไม่รู้ว่าจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่ !!
ขณะที่ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรค พปชร. กลับออกมาบอกว่า ไม่ใช่โควตาของนายกฯ แต่เป็นโควตาของพรรค โดยอ้างว่า “อุตตม” ที่ได้เป็น รมว.คลัง นั้น ไปในนามหัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์” เป็น รมว.พลังงาน ก็ไปในนามเลขาธิการพรรค และ “สุวทย์” เป็น รมว.อุดมศึกษาฯ ก็ไปในนาม รองหัวหน้าพรรค ... ไปโดยมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ถ้าไม่ใช่โควตาพรรคแล้วจะเป็นโควตาของใคร !!
การออกมาพูดเช่นนี้ เหมือนใช้พลังของ ส.ส. ใช้อำนาจต่อรองที่มีอยู่ในกลุ่ม มาทวงโควตาที่บอกว่าเป็นของนายกฯ อย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อม ไม่ไว้หน้ากัน !!
ทั้งๆ ที่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น โดยหลักแล้วการเลือก ส.ส. ก็เพื่อเป็นตัวแทนประชาชนมาทำหน้าที่ในสภา ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ...ไม่ใช่เลือก ส.ส.มาเป็นฝ่ายบริหาร ...เพียงแต่การเมืองไทยในช่วงที่ผ่านๆ มานั้น แกนนำพรรคการเมืองส่วนใหญ่จะประกอบด้วยกลุ่มนายทุน ผู้มีบารมีในท้องถิ่น ในภูมิภาคต่างๆ ไปรวบรวม ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เมื่อได้เป็น ส.ส. ก็มาตั้งกลุ่ม ตั้งก๊วน มีมุ้ง ภายในพรรค ถ้าได้เป็นรัฐบาลก็ตอบแทนกันด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี
นั่นคือ “การเมืองเก่า” ที่ยึดถือกันมาเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้วก็ใช้หลัก “คณิตศาสตร์การเมือง” ในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี แล้ว “ลุงตู่” ที่บอกว่าจะทำการเมืองแบบ “นิวนอร์มัล” จะยังคงยึดธรรมเนียมที่ว่านี้อยู่หรือ ?
เข้าใจว่า “ลุงตู่” กำลังตกอยู่ในภาวะที่ถูกกดดันหนักเช่นกัน จึงพยายามยื้อการปรับ ครม.ออกไป... เมื่อเป็นเช่นนี้กลุ่มการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ ก็ส่งลิ่วล้อออกมาป่วน มาดิสเครดิตนายกฯรายวันเช่นกัน
เหมือนๆ ว่า ลุงตู่ส่งสัญญานอ่อนโอนตามการเมืองน้ำเน่า พวกนักการเมืองจึงได้ใจ !!
ล่าสุด “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ก็ถือโอกาส ใช้กรณี “ทหารอียิปต์” และ “ลูกสาวทูตซูดาน” ที่พบว่าติดเชื้อโควิด และกำลังเป็นประเด็นร้อน ออกมาโจมตีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ว่า สองมาตรฐาน เข้มงวดกับคนไทย แต่ให้สิทธิพิเศษต่างชาติ ไม่กักตัว 14 วัน... ได้แต่ย้ำเตือนประชาชนว่า “การ์ดอย่าตก” แต่ ศบค.การ์ดตกเสียเอง หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ อีกไม่นานคงต้องกลับมานับหนึ่งแก้ปัญหาโควิดกันอีกรอบ !!
...เหมือนเป็นการออกมาเตะตัดขารัฐบาล ดิสเครดิต ศบค. กระทบชิ่งไปที่ “ลุงตู่” ซึ่งนั่งเป็นผู้อำนวยการ ศบค.อยู่ !!
สืบสาวดูแล้วบรรดา ส.ส.พลังประชารัฐ ที่ทำตัวเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น “สิระ” หรือ “ชัยวุฒิ” ล้วนจัดอยู่ในพวกคนสนิทที่อยู่ในเครือข่ายของ “วิรัช” ทั้งสิ้น
ก็คงต้องจับตากันต่อไปว่า “ลุงตู่” จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร หรือว่านี่คือการเมือง “นิวนอร์มัล” ของลุงตู่ ที่ยอมให้นักการเมืองอยู่เหนือนายกฯ ? !!