ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“สี่กุมาร” เคลียร์ชัดตัดจบ พ้นบ่วงการเมือง พปชร. “ลุงตู่” ดักคอ “วอนนาบี” ปรับ ครม.วิ่งมากๆ ระวังวืด
กลุ่ม “สี่กุมาร” ที่ประกอบไปด้วย “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน อดีตเลขาธิการพรรค “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรค และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตกรรมการบริหารพรรค พปชร. แถลงลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเคลื่อนไหวนี้ของกลุ่มสี่กุมาร เพราะนี่คือ กลุ่มคนที่ก่อร่างสร้างพรรค พปชร. มาตั้งแต่ต้น ขณะที่การยุติบทบาทในห้วงเวลานี้หลังจากภารกิจนำพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมากว่า 2 ปี โดยมี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็น่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อผู้บริหารพรรคชุดใหม่เข้ามา
ว่ากันว่า การยุติบทบาทของ “สี่กุมาร” เป็นการเคลียร์คัต ตัดจบที่ไม่ต้องแบกรับความกดดันทางการเมือง ตกอยู่ในเกมของการเล่นการเมืองภายในพรรคที่บรรดากลุ่มก๊วนนักการเมือง “วอนนาบี” ซึ่งต่างที่งัดวิชาก้นหีบแบบการเมืองน้ำเน่าเพื่อเสนอตัว แก่งแย่ง “ชามข้าว” จับจ้องเก้าอี้รัฐมนตรี ร่ำร้องให้ “ลุงตู่” ปรับ ครม.อยู่ทุกวัน จนภาพลักษณ์ของพรรค พปชร. กลายเป็น “พลังประชาเละ”
เมื่อลาออกจากพรรคการเมือง แต่ยังคงทำหน้าที่รัฐมนตรี เดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในรัฐบาลตามงานได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นี่ก็อาจจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลในแง่ของการดูแลเศรษฐกิจช่วงวิกฤตเช่นนี้
ส่วนอนาคตทางการเมือง แน่นอนว่า หนทางยังอีกยาวไกล ทั้ง “อุตตม และ สนธิรัตน์” ต่างพูดชัดว่า ยังไม่คิดตั้งพรรค ตั้งกลุ่ม ไม่ยึดติดตำแหน่งรัฐมนตรี ครม.จะปรับหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของ “ลุงตู่” ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
ข้างฝ่าย “ลุงตู่” หลังรับทราบประเด็นร้อนการตัดสินใจของ “กลุ่มสี่กุมาร” ส่วนหนึ่งก็เคารพการตัดสินใจ อีกส่วนหนึ่งก็ยอมรับตรงๆ ว่า ต้องเตรียมการพิจารณาว่า จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป โดยส่งสัญญาณปรับเปลี่ยน ครม. ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นวิถีทางทางการเมือง
มาถึงจุดนี้ คอการเมือง โลกโซเชียลวิเคราะห์กันว่า “ลุงตู่” จะปรับ ครม.ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ และไม่ใช่พอสี่กุมารลาออกจาก พปชร. แล้วจะปรับได้ทันทีทันใด เพราะมีปัจจัยอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องพิจารณาต่อเนื่อง พรรคร่วมต่างๆ ก็ต้องกลับไปพิจารณาของตนเอง ไหนจะกลุ่มพรรคเล็กตัวแปรใหม่ๆ ที่มองข้ามไม่ได้ จะร้องขอตามโควตา ตามสัดส่วนอีก อาจจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ หรือกระทั่ง “คนนอก” ที่ส่งเทียบเชิญเข้ามาเพื่อมาดูเรื่องเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มีใครตอบรับ ขณะที่ “มือเศรษฐกิจ” ของ พปชร. ที่เปิดตัวมาก็ถูกเสียงร้องยี้กระหึ่มไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้าอยู่กับความเป็นจริง ไม่มโน เหมือนพวก “วอนนาบี” อยากให้เป็น... “ลุงตู่” ขอไว้เลยว่าให้ใจเย็นๆ วินาทีนี้ ยังไม่มีให้ใครจะเป็น ใครจะเข้า ใครจะออก จะเกิดเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
ฟังว่า จากนี้จะมีพวกวอนนาบี วิ่งกันตีนขวิดขอตำแหน่ง งานนี้ก็เลยเจอลุงตู่ “ดักคอ” ใครจะวิ่ง ใครจะอะไร คนวิ่งมากๆ ก็อาจจะไม่ได้ก็ได้ ระวังจะซดแห้ว!!
ส่วนที่มองกันว่า ตำแหน่ง รมว.ของสี่กุมาร เมื่อไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พปชร.แล้ว ต้อง “คืนสมบัติ” ยกโควตาให้ พปชร. หรือไม่ นายกฯ บอกว่า เป็นเรื่องกลไกภายในพรรค เพราะสัดส่วนในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองเป็นอันดับแรก “โควตาคนนอก” ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
อย่าลืมว่า “ลุงตู่” ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พปชร. เพราะฉะนั้นแม้สัดส่วนรัฐมนตรีจะมาจากพรรคเป็นหลัก แต่การจะนำคนนอกเข้ามา ก็เป็นโควตาของพรรค หรือ นายกฯจะขอมาก็ได้
พูดง่ายๆ ว่า ที่ “สิระ เจนจาคะ” หัวหมู่หน่วยกล้าอาย ของพวกวอนนาบี เย้วๆ ไล่หลังสี่กุมาร จะขอทวงคืนสมบัติของพรรค ก็ช่างแกล้งไม่รู้หลักของการจัดการของหัวหน้ารัฐบาลอย่างลุงตู่ หรือรู้แต่เก็บอาการอยากไม่ไหว อยากเสนอหน้าให้แกนนำกลุ่มเห็นถึงความอหังการ ตอบแทนลูกพี่
ตอนนี้ถามว่า สถานะ รมว.ของ “สี่กุมาร” เป็นสัดส่วนไหน “ลุงตู่” บอกว่า ถือว่าเป็นโควตาของนายกฯ ซึ่งเดิมก็เป็นเช่นนั้นอยู่ และเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
บอกกันชัดๆ แบบนี้ ไม่รู้ว่า สายเสี้ยม สายมโน วอนนาบีในพรรค พปชร. จะฟังเข้าใจหรือไม่
เอาเป็นว่าวันนี้ คือ วันนี้ “วันข้างหน้าเป็นเรื่องของวันข้างหน้า” วันนี้ สี่กุมารจบไปแล้วหนึ่งตอน ก็โปรดติดตามกันตอนต่อไป
**สภาฯล่มทั้งที่เสียงฝ่ายรัฐบาลเกินปริ่มน้ำไปมากมาย สปอตไลต์ จึงจับไปที่ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล กำลังเล่นอะไรกันอยู่ !!
เกิดเหตุการณ์ประชุมสภาผู้แทนราษฎร “ล่ม” เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 8 เดือน โดยล่าสุด เกิดเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างนั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณา “รับทราบ” รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตาม มาตรา 270 ของ รธน. (เดือน ต.ค.- ธ.ค. 62) ปรากฏว่า ส.ส.ฝ่ายค้าน ได้สลับกันลุกขึ้นอภิปรายไม่พอใจที่รายงานฉบับนี้ นำเข้าสภาฯ ทุก 3 เดือน แต่ไม่ความคืบหน้าเลย จึงอยากให้ถอนรายงานฉบับนี้ออกไปก่อน จากนั้น “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ก็ขอนับองค์ประชุม
ปรากฏว่า นับองค์ประชุมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ในตอนนี้ที่มีทั้งหมด 487 เสียง เมื่อไม่ครบองค์ประชุม จึงไม่สามารถประชุมต่อได้ ที่สุดก็ “สภาฯล่ม” ไปตามกติกา ...หลังจากมาเช็กดูแล้วปรากฏว่า จำนวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ขาดไป 53 เสียงนั้น เป็นเสียงของพรรคพลังประชารัฐ มากสุดถึง 27 เสียง
วันต่อมา (9 ก.ค.) เมื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” รองประธานสภาฯคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้หยิบยกเอารายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้สภาฯรับทราบอีกครั้ง...ปรากฏว่า ส.ส.ฝ่ายค้าน ได้ทยอยเดินออกจากห้องประชุมสภาฯ ไม่ขอรับทราบด้วย ทำให้ประธานในที่ประชุม ต้องนำวาระอื่นมาพิจารณา สภาฯจึงเดินต่อไปได้ ...
เพราะถ้ายังดึงดันต่อไปคงต้องเจอพาดหัวข่าวหน้า 1 สภาฯล่ม 2 วันติด !!
เหตุการณ์สภาฯล่ม มองภายนอกเหมือนบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติจะ “สันหลังยาว” โดดประชุม ทำงานไม่คุ้มกับภาษีประชาชน แต่ในความเป็นจริงเรื่ององค์ประชุม บางครั้งมันก็มีอะไรมากกว่านั้น และการจะไปโทษฝ่ายค้านว่า จ้องแต่จะเล่นเกม ก็คงไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด
“สุทิน คลังแสง” ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่าที่ขอนับองค์ประชุม เพราะต้องการสั่งสอนรัฐบาลให้ปฏิรูปตัวเองก่อน เพราะ ส.ส.รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญในการเข้ามาประชุม !!
ขณะที่ในฟากฝั่งรัฐบาลด้วยกันเอง มองว่า น่าจะเกิดจาก “ศึกภายใน” ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ทำการยึดพรรคกันเสร็จแล้ว แต่ “ผู้ร่วมก่อการ” กำลังไล่ “เช็กบิล” กันเอง โดยยืมมือฝ่ายค้านก่อหวอด
อาจเป็นไปได้ว่า “กลุ่ม-ก๊วน” ในพรรค พปชร. ร่วมด้วยช่วยกันให้ “สภาฯล่ม” เพื่อให้เห็นความบกพร่องของ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ที่ทำหน้าที่ “ผู้ควบคุมเสียง” ในฐานะประธานวิปรัฐบาล... หรืออีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็น “ละคร” ที่ “วิรัช” เซตขึ้นมาเพื่อ “โชว์พาว” ให้ผู้ใหญ่ได้เห็น ...เป็นการประท้วงในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ
เรื่องที่คนในพรรค พปชร. มองว่า “เป็นประเด็น” ก็คือ การจัดสรรคนของกลุ่มต่างๆ ในการเข้าไปนั่งเป็น กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 ที่ปรากฏว่า “วิรัช” รวมไปถึง ส.ส.ในคอนโทรลไม่มีชื่ออยู่ใน กมธ.วิสามัญ ชุดนี้เลย ... ลำพังชื่อคนอื่นหายยังพอเข้าใจได้ แต่การที่ชื่อ “วิรัช” ซึ่งเป็นประธานวิปรัฐบาล และยังถือเป็น "กระบี่มือหนึ่ง" ด้านงบประมาณ กลับหลุดโผ นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ... เพราะในการพิจารณางบปี 63 “วิรัช” ยังเป็นถึงรองประธาน กมธ. เบอร์ต้นๆ อีกทั้งในอดีตตั้งแต่อยู่กับ “ขั้วอำนาจเก่า” ก่อนจะมาถึงยุค คสช. ก็ได้นั่งเป็น กมธ.พิจารณางบฯ แทบทุกปี...
คงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไม ส.ส.ถึงอยากเป็น กมธ.พิจารณางบประมาณกันนัก ...จะขอยกตัวอย่างว่าคดี “คดีสนามฟุตซอลฉาว” ที่ปรากฏในสำนวน ของ ป.ป.ช. ระบุว่า มีงบประมาณไปกองอยู่ที่ “วิรัช” หลายพันล้านบาท
การที่ “วิรัช” และชาวคณะ หลุดจาก กมธ.กันทั้งยวงนั้น ถูกมองว่าเป็นรายการ “เอาคืน” ของกลุ่ม “ผู้ที่ถูกกระทำ” ภายในพรรคก่อนหน้านี้...เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่นั่งเป็นประธาน กมธ. ชุดนี้ คือ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ที่เป็นประธานโดยตำแหน่ง และยังเป็นผู้จัดรายชื่อ กมธ. ในโควตาของรัฐมนตรีด้วย !! จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า มีชื่อ ส.ส.ในสายของ “สี่กุมาร” ได้เข้าไปนั่งใน กมธ. กันหลายคน แต่ไม่มีคนในสายของ “วิรัช” เลย
ว่ากันว่า เรื่องนี้ สร้างความแค้นเคืองแก่ “วิรัช” มากที่ถูก “เอาคืน” ได้อย่างเจ็บแสบ !! จนตัวเองต้องพลาดนั่งเก้าอี้กรรมาธิการ เพื่อจัดทำงบประมาณ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บรรดา ส.ส.หลายพรรค ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ต้องมารุมล้อม อยากเข้าหา
พูดง่ายๆ “กมธ.งบประมาณ” คือ ฐานในการสร้างบารมีของ “วิรัช” นั่นเอง !! การถูกกันออกนอกวงเช่นนี้ถือว่า เป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในชีวิตการเมืองของ “วิรัช” จนถึงขั้นออกอาการ “หัวร้อน” และว่ากันว่า นี่คือสาเหตุที่ต้องโชว์พาว ในเชิงประท้วง จนเกิดสภาล่ม !!
หากย้อนมองกลับไปถึงตำแหน่ง “ประธานวิปรัฐบาล” ของวิรัช ก็ใช่ว่าจะมั่นคงนัก เพราะก่อนหน้านี้มี ส.ส.ในพรรคที่อยู่ขั้วตรงข้าม เคยแห่ไปฟ้อง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ตอนนั้นเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค เพื่อขอให้เปลี่ยนตัว “วิรัช” มาแล้ว ... อีกทั้งช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังการพิจารณาสำนวนคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล จ.นครราชสีมา ที่มี “วิรัช” กับพวก ถูกกล่าวหา ในชั้นอัยการสูงสุดใกล้จะเสร็จสิ้น ซึ่งหากมีการสั่งฟ้องต่อศาล และศาลรับฟ้อง “วิรัช” จะต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ส.ส.ทันที จึงมีการหยิบยกหา “ตัวตายตัวแทน” มาทำหน้าที่
ยิ่งเมื่อเกิดสภาฯล่มรอบนี้ ข่าวว่า “ลุงป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็ออกอาการหัวร้อนเช่นกัน ก็ต้องจับตาว่าในการประชุมพรรคประจำสัปดาห์ ในวันที่ 14 ก.ค.นี้ จะมีประกาศิตจาก “ลุงป้อม” ในเรื่องเปลี่ยนตัวประธานวิปรัฐบาลออกมาหรือไม่ อย่างไร !!