xs
xsm
sm
md
lg

“สี่กุมาร” ปิดฉาก พปชร.สถานีต่อไปตั้งพรรคใหม่ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา



ถือว่าเป็นการปิดฉากกับพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการ สำหรับกลุ่มที่เรียกว่า “สี่กุมาร” อันประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อดีตเลขาธิการพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม อดีตรองหัวหน้าพรรค และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตกรรมการบริหารพรรค หลังจากที่ได้พร้อมใจกันแถลงลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

สำหรับทั้งสี่คนดังกล่าวถือว่าเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ และได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคในชุดเริ่มแรก อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการเคลื่อนไหวในปฏิบัติการ ก่อการ “ยึดพรรค” เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ในการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ปรากฏว่า ทั้ง 4 คน รวมไปถึงอดีตกรรมการบริหารชุดเดิมบางคนในชุดก่อตั้ง ก็ไม่มีรายชื่อร่วมในคณะกรรมการบริหารชุดใหม่เลย

ที่ผ่านมา มีการจับตาว่า ทั้ง 4 คนดังกล่าว จะมีท่าทีอย่างไรต่อไปหลังจากไม่มีตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐ และที่ผ่านมา หากยังจำกันได้พวกเขาได้ถูก “กระทำ” จากกลุ่มก๊วนการเมืองภายในพรรคมาอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะ “ขับไล่” ซึ่งถูกมองว่าไม่ให้เกียรติกันเลย

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากกระแสสังคมภายนอกที่จับตาการเมืองย่อมมองออกว่า เป็นการกดดันเพื่อหวังผลให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ตัวเองต้องการไปนั่งเก้าอี้

โดยเฉพาะในตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นต้น โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญที่ถูกมองก่อนหน้านี้ ก็คือ การเข้าไปมีบทบาทในการพิจารณาการใช้เงินกู้จำนวน 4 แสนล้านบาท ในโครงการฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบจากโรคระบาด โควิด-19

ขณะเดียวกัน หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นจริง บางกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐ ก็มั่นใจว่า น่าจะเป็นการ “ปรับใหญ่” และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง หรือ “เกลี่ย” เก้าอี้กันใหม่ ทำให้เกิดความหวังลึกๆ ว่า ตัวเองก็น่าจะมีลุ้นได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีตามที่ต้องการ รวมไปถึงบางคนที่ยังไม่เคยเป็นรัฐมนตรี ก็อาจสมหวังในคราวนี้ก็ได้

สำหรับ “สี่กุมาร” ดังกล่าว เข้ามาเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และอยู่ในทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ก็ได้ลาออกมาร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ จนได้เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล

ในการแถลงของทั้ง 4 คนในครั้งนี้ เป็นการแถลงลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ขณะที่ยังทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีต่อไปอย่างเต็มที่ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

สำหรับอนาคตทางการเมืองหลังจากนี้ ที่หลายคนจับตามองว่าจะไปทางไหน โดยพวกเขาย้ำว่า “ยังไม่คิดตั้งพรรคใหม่” โดยจะอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

“เอาเป็นว่า วันนี้เราได้บรรลุในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น ถือว่าบรรลุแล้ว อาจเรียกได้ว่าจบไปตอนหนึ่ง และเราจะทำงานของเราต่อ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรยังไม่ได้คิด แล้วจะเป็นอย่างไรขอให้ดูโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมีแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น”

เมื่อถามว่า จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ในวันนี้ยังไม่มีความคิด ยังขอทำหน้าที่ในฝ่ายบริหารอย่างเต็มที่ และบอกว่าการลาออกจากพรรคในวันนี้ไม่ได้มีการแจ้งนายกรัฐมนตรี เพราะถือเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบริหาร แต่คิดว่านายกรัฐมนตรี คงได้ติดตามข่าวจากสื่อมวลชนอยู่แล้ว วันนี้ขออยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ยังไม่อยากไปคิดถึงเรื่องตำแหน่งใดๆ ในอนาคต

แน่นอนว่านาทีนี้ชัดเจนแล้วว่า “ยังไม่ได้ตั้งพรรค” แต่สำหรับในอนาคตยังไม่ได้คิด ซึ่งขอให้ดูโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน มีแน่นอน ได้ฟังแบบนี้มันก็เหมือนกับการ “ไม่ปิดทาง” ตัวเองสำหรับการตั้งพรรคใหม่ รวมไปถึงการไปร่วมกับบางพรรคการเมืองในอนาคต ซึ่งเป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากแนวโน้มข้างหน้า มีหลายคนยังเชื่อว่าพวกเขาน่าจะมีการตั้งพรรคใหม่ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมาก็ถือว่า มีผลตอบรับค่อนข้างดี อีกทั้งที่ผ่านมาในช่วงการดำรงตำแหน่ง ก็ถือว่าไม่มีประวัติด่างพร้อย แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมากก็ตาม

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เมื่อทั้ง 4 คนได้แถลงลาออกอย่างชัดเจน และเป็นทางการแบบนี้แล้ว มันก็ยิ่งส่งผลในทางจิตวิทยาทางลบให้กับพรรคพลังประชารัฐลงไปอีก ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมของคนภายนอกที่มองเข้าไปภายใน ว่า มีแต่กลุ่มก๊วนการเมืองที่รุมทึ้งผลประโยชน์จากโครงการ และงบประมาณรัฐ แม้ว่าจะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ภาพลักษณ์ของแต่ละคนที่ผ่านมา ล้วนทำให้เกิดคำถามจากสังคมทั้งสิ้น !!



กำลังโหลดความคิดเห็น