ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เกิดเหตุการณ์ประชุมสภาผู้แทนราษฎร “ล่ม” เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 8 เดือน
ล่าสุดเกิดขึ้นระหว่างพิจารณาวาระรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ปี 2562 เมื่อ ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย เสนอขอนับองค์ประชุม
ปรากฏว่า นับองค์ประชุมได้ 226 คน บวกกับที่ขานชื่ออีก 4-5 ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 244 จากจำนวนเต็ม 487 ที่นั่งของสภาผู้แทนราษฎรในตอนนี้ เมื่อครบองค์ประชุม จึงไม่สามารถประชุมต่อได้
ที่สุดก็ “สภาฯล่ม” ไปตามกติกา
มองภายนอก เหมือนบรรดา “ท่านผู้ทรงเกียรติ” จะ “สันหลังยาว” โดดประชุม ทำงานไม่คุ้มกับภาษีประชาชน แต่ในความเป็นจริง เรื่ององค์ประชุมเป็นที่รู้กันมาตลอดว่า หากเป็นการอภิปรายในวาระธรรมดา
ถ้าคิดจะเล่นเกมนับองค์ประชุมกันจริงๆ อาจมีมากกว่า 3 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนหน้านี้ที่เสียง ส.ส.รัฐบาล-ฝ่ายค้าน อยู่ในภาวะ “ปริ่มน้ำ”
เพียงแต่ที่ผ่านมา หากไม่ใช่วาระสำคัญ บรรดา ส.ส.ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล มักจะอะลุ้มอล่วยกันไป จนเป็นธรรมเนียมที่ผิดๆ
แต่การเสนอขอนับองค์ประชุมของ “ครูมานิตย์” ครั้งนี้ เกิดขึ้นในการประชุมสภาฯ เพื่อรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งไม่ได้สำคัญหรือ “ชี้เป็นชี้ตาย” อะไรกับรัฐบาลได้
พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวโจกฝ่ายค้าน โดย สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) ฝ่ายค้าน อ้างว่า สาเหตุที่ขอนับองค์ประชุม เพราะต้องการสั่งสอนรัฐบาลให้ปฏิรูปตัวเองก่อน
“เห็นว่า ส.ส.รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญด้วยการไม่เข้ามาประชุม ฝ่ายค้านจึงเสนอนับองค์ประชุม จะได้ให้รัฐบาลตื่นตัวเรื่องการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง วันนี้เป็นมาตรการหนึ่งที่เราอยากให้การปฏิรูปเกิดขึ้น”
หากมองในมุมฝ่ายค้าน การดัดหลังรัฐบาลถือว่า ไม่น่าแปลกใจ แต่เหตุใดจึงมาเลือกในวาระที่ไม่ได้สำคัญอะไร เป็นแต่เพียงวาระ “รับทราบ” เท่านั้น
เรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างมาเกิดในช่วงที่รัฐบาลมีเสียงทิ้งฝ่ายค้านสุดกู่ แต่กันปล่อยให้ “สภาล่ม” กันได้
เสียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่น “สัปปายะนะสภาสถาน” รัฐสภาแห่งใหม่ย่านเกียกกาย ว่าการงัดเกมนับองค์ประชุมของ “ครูมานิตย์” อาจถูก “กดปุ่ม” มาจากฟากฝ่ายรัฐบาลกันเอง มากกว่าจะเป็นเกมชิงจังหวะการเมืองของฝ่ายค้าน
มองกันว่าเป็นผลพวงมาจาก “ศึกภายใน” ของพรรคพลังประชารัฐที่ทำกหารยึดพรรคกันเสร็จแล้ว แต่ “ผู้ร่วมก่อการ” กำลังไล่ “เช็กบิล” กันเอง โดยยืมมือฝ่ายค้านเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา
มองอย่าง “ตื้นเขิน” อาจพอวิเคราะห์ได้ว่า กลุ่ม-ก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ ร่วมด้วยช่วยกันให้ “สภาล่ม” เพื่อให้เห็นความบกพร่องของ “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ทำหน้าที่ “ผู้ควบคุมเสียง” ประธานวิปรัฐบาล
ทว่า ก็อาจมองอย่าง “ลึกซึ้ง” ไปอีกได้ว่า เป็น “ละคร” ที่ “เสี่ยยักษ์” เซตขึ้นมาเพื่อ “โชว์พาวเวอร์” ให้ “ผู้ใหญ่” ได้เห็น
ปัญหาเกิดจากการจัดสรรให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564
ที่ปรากฏว่า “วิรัช” รัตนเศรษฐ” รวมไปถึง ส.ส.ในคอนโทรลไม่ปรากฏใน 72 รายชื่อกรรมาธิการฯ ดังกล่าวเลย
ลำพังชื่อคนอื่นหายยังพอเข้าใจได้ แต่การที่ชื่อ “วิรัช” ซึ่งเป็นประธานวิปรัฐบาล และยังถือเป็น “กระบี่มือหนึ่ง” ด้านงบประมาณ ไม่ปรากฏอยู่ในกรรมาธิการงบประมาณฯ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
ย้อนไปครั้งกรรมาธิการฯ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 “วิรัช” เป็นถึงรองประธานกรรมาธิการฯ เบอร์ต้นๆ อีกทั้งในอดีตตั้งแต่อยู่กับ “ขั้วอำนาจเก่า” ก็แทบจะอยู่ในกรรมาธิการฯงบในทุกปี
มีผลประจักษ์มาแล้วกับ “คดีฟุตซอล” ที่ปรากฏในสำนวน คณะกรรมการป้องกันปละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ระบุว่า มีงบประมาณไปกองอยู่ที่ “วิรัช” หลายพันล้านบาท
การที่ “วิรัช” และชาวคณะ หลุดจากออกจากตำแหน่งกรรมาธิการฯยกยวงนั้น ว่ากันว่า เป็นรายการ “เอาคืน” ของ “ผู้ที่ถูกกระทำ” ก่อนหน้า
สำหรับการจัดสรรตำแหน่งกรรมาธิการฯในพรรคพลังประชารัฐนั้น จะแบ่งกันตามรายภาค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดย “เมืองย่าโม” จ.นครราชสีมานั้น ได้ 1 เก้าอี้ ซึ่งแต่เดิม “วิรัช” หัวหน้าทีม จะส่ง ส.ส.คนอื่นในจังหวัดเข้าไปเป็นกรรมาธิการฯในโควตานี้
ส่วนตัว “เฮียยักษ์” เองจะไปกินโควตาคณะรัฐมนตรีแทน
รอบนี้ “วิรัช” ก็หมายมั่นปั้นมือเอาไว้เช่นกัน โดยส่งชื่อ “เฮียเบี้ยว” สมศักดิ์ พันธุ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ ไปในโควตาจังหวัด ส่วนตัวเองตั้งใจว่า จะไปเสียบในโควตารัฐมนตรีเหมือนเดิม
แต่กลับหลงลืม หรืออาจชะล่าใจไป เพราะคนที่จัดรายชื่อกรรมาธิการฯ ในโควตาคณะรัฐมนตรี ก็คือ ตัว รมว.คลัง ซึ่งเป็นประธานกรรมาธิการฯโดยตำแหน่ง
รมว.คลังคนปัจจุบันชื่อว่า “อุตตม สาวนายน” คนๆ เดียวกับที่ “วิรัช” กับพรรคพวกรวมหัวกันตะเพิดไล่อออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพียงเพื่อต้องการจะเอาสัดส่วนโควตารัฐมนตรีจาก “กลุ่มสี่กุมาร”
ไม่แปลก หากชื่อของ “วิรัช” และเด็กในสังกัดจะหายไปแบบยกพวงในกรรมาธิการฯ ขณะที่ ส.ส.ในสาย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และกลุ่มสี่กุมาร ไม่ว่าจะเป็น วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ, พรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ สันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กลับไปนั่งในกรรมาธิการฯ เต็มพรืดไปหมด
ทั้ง “วิเชียร-พรชัย-สันติ” ก็เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกอัปเปหิออกจากตำแหน่งพร้อมกับกลุ่มสี่กุมาร แต่ยังมีสถานะ ส.ส.ติดตัวอยู่
เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้ แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “วิรัช” แค้นเคืองใจเป็นอย่างมากที่ถูก “เอาคืน” จนตัวเองต้องพลาดนั่งเก้าอี้กรรมาธิการฯ เพื่อจัดทำงบประมาณ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บรรดา ส.ส.หลายพรรคทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ต้องมารุมล้อม อยากเข้าหาในช่วงที่ผ่านมา
พูดง่ายๆ “กมธ.งบประมาณ” คือฐานสร้างบารมีของ “วิรัช” นั่นเอง
หากมองผิวเผินเรื่อง “สภาล่ม” เมื่อวันพุธ หลายคนคิดว่า “วิรัช” น่าจะถูก “วางยา” จาก ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามในพรรคพลังประชารัฐ ที่ร่วมมือกับฝ่ายค้าน เพื่อฉุด “วิรัช” ให้จม หลังพลาดหวังเก้าอี้กรรมาธิการฯไปแล้วรอบหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนตัว “ประธานวิปรัฐบาล”
ในความเป็นจริงเรื่องการเปลี่ยนตัวประธานวิปรัฐบาลนั้น มีความเคลื่อนไหวมาตลอด ครั้งหนึ่ง ส.ส.ครึ่งพรรคพลังประชารัฐ เคยแห่ไปฟ้อง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ตอนนั้นเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค เพื่อขอให้เปลี่ยนตัว “วิรัช” มาแล้ว
ล่าสุด ช่วงเดือนที่แล้ว หลังการพิจารณาสำนวนคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล จ.นครราชสีมา ที่มี “วิรัช” กับพวก ถูกกล่าวหา ในชั้นอัยการสูงสุดใกล้จะเสร็จสิ้น ซึ่งหากมีการสั่งฟ้องต่อศาล และศาลรับฟ้อง “วิรัช” จะต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ส.ส.ทันที จึงมีการหยิบยกหา “ตัวตายตัวแทน” มาทำหน้าที่
มีการโยนชื่อออกมาหลายราย อาทิ นิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์, อนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร หรือ มณเฑียร สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท เป็นต้น
สอดรับกับเกม “สภาฯล่ม” ครั้งนี้ ที่้บางฝ่ายมองว่า เป็นการดิสเครดิตการทำหน้าที่ประธานวิปรัฐบาลของ “วิรัช”
แต่ยี่ห้อ “วิรัช” นักการเมืองสายเขี้ยวลากดิน ไม่น่าจะพลาดง่ายๆ และมีกลิ่นโชยมาว่า ไม่แน่รายการนี้อาจมีรายการ “วางยาตัวเอง” ไม่ใช่ถูก “คนอื่นวางยา”
เพราะตั้งแต่พลาดเก้าอี้กรรมาธิการงบประมาณฯ “วิรัช” ค่อนข้างเดือดดาลและเจ็บอกเจ็บใจ “ผู้ใหญ่” เป็นอย่างมาก ถึงขนาดก่อนวันประชุมสภาฯ วันหนึ่ง ได้เกริ่นกับ ส.ส.บางคนในลักษณะว่า งานวิปรัฐบาล “ถ้าไม่มีกู ใครจะทำ”
ประโยคนี้ เป็นที่มาที่ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า หรืองานนี้จะเป็นการฟาดงวงฟาดงา อาละวาดที่ตัวเองพลาดเก้าอี้กรรมาธิการฯ จึงออกฤทธิ์ออกเดชของ ส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจให้เห็นถึงความสำคัญของตัวเองว่า หากไม่มีคนชื่อ “วิรัช” งานวิปรัฐบาลและงานในสภาฯ จะลำบาก
เหมือนกับ “สภาล่ม” ครั้งนี้ ที่พอ “วิรัช” ปล่อยมือ ฝ่ายรัฐบาลก็พลาดพลั้งทันที
แม้จะมีฉากที่ “วิรัช” ไปอ้อนขอ “ครูมานิตย์” ให้ถอนการเสนอนับองค์ประชุม แต่นักการเมืองรุ่นเก๋ามองว่า เหลี่ยมคูของคนชื่อ “วิรัช” นั้นไม่ธรรมดา ฉากตบตาเกิดขึ้นได้เสมอ
ที่สำคัญ “วิรัช” และ “ครูมานิตย์” ก็มีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง เพราะเป็น ส.ส.อีสานใต้ อยู่พรรคเพื่อไทยกันมา ตัว “ครูมานิตย์” เองระยะหลังก็เผลอทำตัวเป็น “ส.ส.รัฐบาล” คอยอวย คอยเชียร์รัฐบาลออกนอกหน้านอกตา ไม่แคร์สายตาเพื่อนฝ่ายค้านด้วยกัน
ยิ่งไล่สแกนรายชื่อ ส.ส.ที่โดดประชุมของพรรคประชารัฐ จำนวน 27 คน มี ส.ส.ในกลุ่มของ “วิรัช” เพียบ ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยคลัง” ทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา ลูกชายของวิรัช, “ดร.ส้ม” พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม., พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ, ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ, สันติ พร้อมพัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรมช.คลัง
หรือกระทั่งคู่หูของวิรัช อย่าง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี
คนเหล่านี้ไม่มีทางมาไม่ทันนับองค์ประชุม เพราะเป็น ส.ส.ที่ใกล้ชิด “วิรัช” ยิ่งต้องอยู่เพื่อไม่ให้ผู้เป็นผู้นำต้องเสียเครดิตเอาง่ายๆ แต่กลับไม่วิ่งเข้ามา จนทำให้องค์ประชุมล่ม จนเหมือน “จงใจ” ร่วมแผนการ
แม้การทำแบบนี้ “วิรัช” อาจต้องเจ็บตัว หากแต่ก็คงประเมินแล้วเหมือนกันว่า ผู้ใหญ่จะไม่กล้าทำอะไร ในเมื่อทุกวันนี้ ยังหาบุคคลมาทำหน้าที่ประธานวิปรัฐบาลแทนไม่ได้ และพรรคยังจำเป็นต้องใช้มวยเก๋าเกมอย่างตัวเอง
ที่สำคัญ คนอย่าง “วิรัช” คงไม่มีอะไรในชีวิตเสียหายมากกว่าการอดนั่งกรรมาธิการงบประมาณฯ ที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในอาชีพผู้แทนของตัวเอง.