xs
xsm
sm
md
lg

ก๊วน พปชร.ทึ้งเก้าอี้ รมต.ทันที “ลุงป้อม” เอาอยู่หรือไม่ !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - อนุชา นาคาศัย
เมืองไทย 360 องศา



รับรู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมืองกับการลาออกจากตำแหน่งของกลุ่มรัฐมนตรีที่ถูกเรียกว่า “กลุ่มสี่กุมาร” อันประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ยังรวมถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยพวกเขาได้แถลงข่าวลาออก เมื่อตอนสายวันที่ 16 กรกฎาคม โดยให้มีผลในวันเดียวกัน

หากพิจารณาจากระยะเวลานับตั้งแต่การเข้ารับตำแหน่งจนถึงวันที่มีการยื่นใบลาออก ก็ถือว่าพวกเขาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นเวลาครบหนึ่งปีเต็มพอดี

คำแถลงโดยสรุปของพวกเขาต่างยืนยันว่า เป็นการลาออกโดยสมัครใจ ไม่ได้มาจากสาเหตุถูกกดดันทางการเมืองใดๆ โดยนายอุตตม สาวนายน ระบุว่า ต้องการให้รัฐบาลและการบริหารราชการเดินหน้าต่อไปได้ โดยลดแรงกดดันทางการเมืองต่อนายกรัฐมนตรี และปราศจากความอึมครึม และที่สำคัญ เป็นการจากกันด้วยดี โดยยังขอบคุณ นายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสพวกเขาเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี เขายังได้เผยถึงอนาคตว่าจะไปทำงานด้านช่วยเหลือสังคมต่อไป แต่ขณะเดียวกัน เมื่อถูกถามเรื่องอนาคตทางการเมืองโดยตอบเลี่ยงไปว่า ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองหากเป็นการทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมและประเทศชาติ

ทำนองเดียวกันกับ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่กล่าวตอบคำถามในเรื่องอนาคตทางการเมือง ว่า เรื่องการเมืองรวมไปถึงเรื่องการตั้งพรรคการเมืองในเวลานี้ยังไม่ได้คิด แต่ยืนยันว่า มีความพร้อมที่จะช่วยกันคิดเพื่อบ้านเมือง

“ขอพักก่อน เพราะสิ่งที่กังวลคือ สถานการณ์บ้านเมืองที่ต้องการพลังในการทำงานโดยเราไม่อยากเห็นการเมืองเป็นอุปสรรค ซึ่งเราอย่างเป็นส่วนช่วยบ้านเมืองให้มีกลไกที่ไม่ต้องคลุมเครือ” นายสนธิรัตน์ ระบุตอนหนึ่งในคำแถลงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

หลังการลาออกของรัฐมนตรีใน “กลุ่มสี่กุมาร” ดังกล่าว มีผลในทันทีทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยืนยันว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างเร็วที่สุด ไม่เกินเดือนสิงหาคม ซึ่งก็คือภายในเดือนหน้านั่นเอง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่า ได้ทาบทามคนนอกมาช่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ เพียงแต่รอคำตอบกลับมาเท่านั้น พร้อมทั้งย้ำว่า จะพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วยตัวเอง

ที่น่าสนใจก็คือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ย้ำให้เห็นถึงสัดส่วนคนนอกและสัดส่วน หรือ “โควตา” ของตัวเองก็ต้องมี


ดังนั้น หากพิจารณาจากรูปการเท่าที่เห็นในเบื้องต้นที่ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีอยู่ในเบื้องต้นจำนวน 5-6 คนแล้ว โดยแทนตำแหน่งที่ว่าง คือ รองนายกรัฐมนตรี แทน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แทน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ แทน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ในโควตาของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่เสนอชื่อ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มาจ่อไว้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว

นอกจากนี้ อาจยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย อาจไม่ขอไปต่อ หลังจากมีข่าวมาตลอดว่าจะขอพัก

ยังเชื่อว่า จะต้องมีการปรับใหญ่ในคราวเดียวกัน เพราะด้วย “เหตุผลทางการเมือง” ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ระบุเอาไว้ ทั้งในเรื่องของเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลที่มีมาเพิ่ม และลดลง ก็อาจจะมีผลต่อโควตาของเก้าอี้รัฐมนตรี รวมไปถึงมีบางพรรคที่เริ่มขยับในการเสนอให้เปลี่ยนแปลงเก้าอี้กันแล้ว


แต่หากจะต้องโฟกัสแล้วละก็ น่าจะต้องพุ่งเป้าไปที่พรรคพลังประชารัฐมากกว่า ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล และที่ผ่านมา ไม่นานก็มีการเคลื่อนไหวเพื่อ “ยึดพรรค” ในลักษณะของการกดดันและขับไล่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเก่า ที่มี นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค

โดยเป้าหมายที่หลายคนเชื่อว่าเป็นการกดดันเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี ที่เป้าหมายในตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญ ทั้งรัฐมนตรีคลังและพลังงาน โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

โดยหลังจากที่ รัฐมนตรีกลุ่มสี่กุมารแถลงลาออกไม่ทันสิ้นเสียง ก็เริ่มปรากฏข่าวความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐตามมาทันที โดยในตอนแรกมีรายงานข่าวว่า มีกลุ่มก๊วนในพรรคนำโดย นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคเตรียมเคลื่อนไหวแสดงพลังโดยนัด ส.ส.ประชุมกันที่รัฐสภา เพื่อสนับสนุน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานแทน พร้อมกับขู่ว่าหากไม่สำเร็จ ก็จะกดดันให้ยุบสภาก็ได้ แม้ว่าในที่สุดแล้ว นายอนุชาได้ปฏิเสธความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการปล่อยข่าว “ภายในพรรค” เพื่อทำลายกัน

แม้ว่าจะมีการปฏิเสธหรือไม่มีความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาตามที่ว่าจริง แต่การที่ นายอนุชา กล่าวว่าเป็นการปล่อยข่าวในพรรคพลังประชารัฐเพื่อทำลายกัน มันก็มีความหมายที่ชี้ให้เห็นว่า ยังมีความเคลื่อนไหว “ใต้น้ำ” โดยไม่มีเอกภาพตามที่ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคคนใหม่ได้กำชับเอาไว้ ให้สามัคคีกัน

นอกเหนือจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ย้ำว่า การปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้น “ด้วยเหตุผลทางการเมือง” และแสดงท่าทีลำบากใจกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก่อนหน้านี้ ที่แสดงออกถึงความจำเป็นที่ต้องปรับคณะรัฐมนตรี แม้ไม่ได้พูดออกมาโดยตรง แต่ก็สื่อให้เข้าใจได้

อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ เก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ว่าจะเป็นใคร ที่ตามรายงานระบุว่า จะมีการดึง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตซีอีโอ ปตท. มานั่งแทน โดยเมื่อถูกสื่อถามเรื่องนี้นายกฯ ก็ย้อนถามว่า “แล้วคุณไพรินทร์มีปัญหาตรงไหน” เหมือนกับยืนยันกลายๆ อีกทั้งยังเป็นการ “กร้าวใส่” กลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐที่พยายามเสนอตัว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มานั่งเก้าอี้ที่มีผลประโยชน์มหาศาลตัวนี้อีกด้วย

ดังนั้น จึงต้องโฟกัสไปที่พรรคพลังประชารัฐเป็นหลักว่าจะมีการ “กระเพื่อม” เกิดขึ้นแค่ไหน เพราะเชื่อว่ายังมีอีกหลายตำแหน่งที่ต้องเคลื่อนไหวกันอย่างดุเดือด และคำถามก็คือทั้งก่อนและหลังการปรับคณะรัฐมนตรี หากไม่ถูกใจทุกคนผลจะตามมาอย่างไร ซึ่ง “ลุงป้อม” จะเอาอยู่หรือไม่ น่าติดตาม !!



กำลังโหลดความคิดเห็น