ความเกลียดหรือกลัวคนเผ่าพันธุ์ที่มีฐานะและอาชีพที่ทำมาหากินได้เก่งกว่าคนทั่วไป และต้องการสร้างความแตกแยกในประเทศ โดยเหมาให้คนกลุ่มน้อยกลายเป็นแพะ และต้นเหตุของการมาแย่งการทำมาหากิน ทำให้เกิดคนแบบฮิตเลอร์ ผู้ก่อสงครามเหยียดเชื้อชาติ และสร้างค่ายมรณะฆ่าคนยิวถึง 6 ล้านคนตายด้วยการรมแก๊สพิษ และทำให้คนตายทั่วโลกถึงประมาณ 70-80 ล้านคนจากสงครามโลกครั้งที่ 2
บ้านแตกสาแหรกขาดไปทั่วโลกเกิดจากความบ้าระห่ำของฮิตเลอร์ ซึ่งมีวิธีการสร้างวาทกรรมที่โยนความผิดโดยสร้างแพะจากคนกลุ่มน้อยในสังคม โดยสร้างความเกลียดชังและทวีความรุนแรง ที่ทำลายทุกคนที่ออกมาขวางแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์
คนเยอรมันส่วนใหญ่ได้ปล่อยปละละเลยต่อการก่อตัวขึ้นของกลุ่มนาซี ตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่โตขึ้น จนชนะการเลือกตั้งเข้าไปนั่งเป็น ส.ส.ในสภาจำนวนมาก
คนเยอรมันที่ไม่ใช่ยิว ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกมาสมน้ำหน้าตัวเองที่ไม่ได้เอาใจใส่ต่อการเติบโตของลัทธินาซีที่โหดเหี้ยมอำมหิตและร้ายแรง จนทำให้บ้านเมืองพังพินาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ไม่เพียงคนเยอรมันส่วนใหญ่ที่ไม่ไหวทันต่อความเป็นโรคจิตของฮิตเลอร์ ที่กำลังย่างสามขุมเพื่อขยายกองทัพนาซีเข้าบดขยี้ทั่วยุโรป พร้อมตามล่าชาวยิวหรือผู้เห็นใจคนยิวไปทั่วทุกหนแห่ง
แต่ระดับผู้นำของยุโรปและสหรัฐฯ ก็เป็นฝ่ายเห็นใจหรือสนับสนุนแนวคิดของฮิตเลอร์ที่ต้องการรวบรวมยุโรปให้เป็นปึกแผ่นจากการที่กองทัพนาซีเข้ายึดครองทีละประเทศของยุโรป ก่อนขยายเข้าไปในแอฟริกา
แม้แต่มกุฎราชกุมารอังกฤษ (Prince of Wales) ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า Edward ที่ 8 (ที่ในที่สุดได้สละราชสมบัติเพื่อไปครองรักกับแม่ม่าย Wallis Simpsons และเป็นทูลกระหม่อมลุงของพระราชินีอังกฤษองค์ปัจจุบัน) ก็เห็นดีเห็นงามไปกับฮิตเลอร์ หรืออาจจะเป็นการถูกหลอกให้เห็นแต่ความแข็งแกร่งของนาซี ที่มาจากการเลือกตั้งก็ได้
รวมทั้งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำราชสำนัก St. James อย่าง Joseph Kennedy Sr. (ซึ่งเป็นบิดาของอดีตปธน. John F. Kennedy) ก็เห็นดีเห็นงามไปกับการเติบใหญ่ของกองทัพนาซีของฮิตเลอร์ด้วย!
ก็ต้องให้ Credit กับความสามารถในการใช้วาทกรรมที่เร้าใจ, ดุเดือด, ทรงอำนาจ, เข้าถึงความรู้สึกของประชาชนเยอรมันส่วนใหญ่ที่หลงคารมและถูกปลุกปั่นให้เต้นตามการนำของฮิตเลอร์ โดยถูกปิดบังถึงค่ายมรณะที่ฮิตเลอร์ และเหล่าผู้นำนาซีแอบซ่อนอยู่ที่ Auschwitz ประเทศโปแลนด์
ปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้วที่สหรัฐฯ มีอาการของการแตกแยกอย่างน่ากลัวยิ่ง อาการละม้ายสิ่งที่ได้เกิดในเยอรมนีช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีผู้นำที่มาจากการชนะเลือกตั้ง และวางยาพิษด้วยวาทกรรมสร้างความเกลียดชังในคนกลุ่มน้อย ที่เคยถูกจับมาเป็นทาสหรือที่อพยพเข้ามาจากอเมริกากลาง อเมริกาใต้เพื่อมาเป็นผู้ใช้แรงงานในสหรัฐฯ
นักวิชาการและนักวิเคราะห์หลายคนในสหรัฐฯ มองว่า ทั้งรัสเซีย และจีนน่าจะเฉลิมฉลองการได้รับชัยชนะของนายทรัมป์เมื่อปี 2016 เพื่อจะเป็นตัวบ่อนทำลายสหรัฐฯ ดังเช่นที่ฮิตเลอร์ได้ทำลายเยอรมนี ขนาดมองว่า ปธน.ปูตินมีส่วนช่วยทรัมป์ให้ชนะการเลือกตั้ง เพื่อการนี้ทีเดียว
การเลือกตั้ง ปธน.ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ ปัญญาชนชั้นนำของอเมริกาหลายคนมองว่า มันจะคล้ายๆ ช่วงทศวรรษ 1950’s ที่ ส.ว.คนดัง Joseph McCarthy สร้างความปั่นป่วนแตกแยกในสหรัฐฯ โดยให้เพื่อนบ้านสอดแนมกันและกันเพื่อไปรายงานตำรวจว่า เพื่อนบ้านกลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ แม้มีความคิดเห็นอย่างเสรีเท่านั้น ขนาดดาราตลกใหญ่อย่างชาลี แชปลิน ก็โดนกล่าวหาว่าเป็น “คอมฯ” ด้วย; ต้องระหกระเหินหนีออกมาจากสหรัฐฯ ไปพำนักในยุโรป
ก็เพราะทรัมป์ปลุกปั่นให้ชาวอเมริกันผิวขาวเริ่มเกลียดกลัวคนกลุ่มน้อยว่าจะมายึดแผ่นดินที่พวกผิวขาวต้องเป็นใหญ่, เป็นเจ้านายต่อไป ทั้งๆ ที่คนผิวดำที่มีจำนวนแค่ 13% ของประชากร 330 ล้านคน และคนผิวน้ำตาลก็พอๆ กับผิวดำ ถ้ารวมทั้งสองเผ่าพันธุ์แล้ว ก็ยังเป็นคนส่วนน้อย ในขณะที่ผิวขาวมีอยู่ถึง 60% ขณะนี้
ยิ่งกรณีการระบาดของโควิด-19 คนผิวเหลืองก็โดนเกลียดกลัวจากการปลุกปั่นของทรัมป์ว่าเป็น Chinese Virus ที่ต้องการทำลายสหรัฐฯ และทำลายโลก!
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทรัมป์ใช้กลยุทธ์การหาเสียงเพื่อให้เขากลับเข้าทำเนียบขาวเป็นครั้งที่ 2 (ซึ่งเขาจะไม่ยอมเสียหน้า อดีตปธน.โอบามาที่เป็นปธน.ผิวดำคนแรกที่ทรัมป์แสนเกลียด และโอบามายังชนะได้ 2 รอบ!) ด้วยการปลุกปั่นกระหน่ำขบวนการ Black Lives Matter ซึ่งประกอบด้วยลูกหลานทาสผิวดำที่มีชีวิตต่ำกว่าผิวขาวมาก และเหล่าคนผิวขาวรุ่นใหม่ และผิวน้ำตาล, ผิวเหลืองที่ร่วมขบวนการนี้ และกำลังชำระประวัติศาสตร์ เพื่อนำความเป็นธรรมมาสู่คนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มในสังคมอเมริกัน เพราะคนกลุ่มน้อยจะเป็นคนระดับล่างของสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง คือเป็นผู้สร้างแต่ไม่มีส่วนร่วมในการแบ่งสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม
ทรัมป์ยังมีความหวังว่า คนผิวขาวที่เขาปลุกปั่นได้สำเร็จ จะพาเขากลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้ง จึงต้องประกาศใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบเพื่อสกัดขบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมขณะนี้ และบิดเบือนการชำระประวัติศาสตร์ที่คนผิวสี รวมทั้งเจ้าของแผ่นดินอย่างอินเดียนแดงเป็นพวกก่อการร้าย, ผู้ทำลายประวัติศาสตร์อเมริกา และทำลายชาติ
นักวิชาการบางคนมองว่า ทรัมป์จะทำตัวเหมือน Nixon ช่วงการเลือกตั้งปี 1968 ที่มีการเรียกร้องต่อต้านสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯ เกณฑ์ลูกหลานอเมริกันไปทำสงครามเพื่อสกัดการขยายตัวของสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งนี้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย และเสรีนิยมของสหรัฐฯ...ช่วงนั้นนิกสันหาเสียงด้วยนโยบายแข็งกร้าว “Law and Order” เพื่อปราบปรามฝ่ายซ้ายและฝ่ายต่อต้านสงครามเวียดนาม
แต่ยิ่งใกล้วันลงคะแนน 3 พฤศจิกายน; คลื่นการเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม (BLM) ยิ่งขยายตัว และคะแนนนิยมของทรัมป์เริ่มตามหลัง Joe Biden ที่หาเสียงด้วยการพูดตรงข้ามกับทรัมป์ คือ “Heal, Unify” หรือรักษากายและใจ (จากความเจ็บปวด) และต้องสร้างความสามัคคีไม่แตกแยก
ทรัมป์ให้น้ำหนักด้านเศรษฐกิจน้อยลงกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะโควิด-19 ได้ดึงเศรษฐกิจลงถดถอยไปหมด เขาจึงทุ่มสุดตัวกับการลงแส้ยังคนกลุ่มน้อยที่สู้ด้วยความสงบเรียกร้องความเป็นธรรมของสังคมว่า เป็นกลุ่มที่กำลังทำลายอเมริกา ปลุกระดมเหล่าตำรวจให้อยู่ข้างทรัมป์ โดยชี้ว่าตำรวจกำลังถูกรังแก ถูกลดอำนาจและทำให้บ้านเมืองวุ่นวายยิ่งขึ้น
หลานสาวของทรัมป์ (Mary Trump) เพิ่งออกหนังสือที่เปิดโปงความวิกลจริตของทรัมป์ ด้วยชื่อหนังสือว่า ครอบครัวของเธอได้ทำอย่างไร จึงสามารถสร้างทรัมป์ให้เป็นบุคคลอันตรายที่สุดของโลกขึ้นมาได้ ซึ่งเธอเองในฐานะนักจิตวิทยาคลินิก โดยเป็นมืออาชีพที่มีใบประกอบโรคศิลปะด้วย ได้วิเคราะห์ถึงการอบรมที่คุณปู่ Fred Trump Sr. ได้สร้างทรัมป์จนกลายเป็นมนุษย์อำมหิตที่ไม่มีความรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวกับความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ ตายด้านในความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และต้องใช้แต่กำปั้นเหล็กเพื่อปูทางจะด้วยเล่ห์หรือกล โกหกมดเท็จไปสู่ชัยชนะของตนเองเท่านั้น ไม่ว่าชาติจะป่นปี้เท่าใดก็ไม่สน