โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำทำเนียบขาวจอมห้าว กำลังถูกประเมินโดนนักวิเคราะห์ว่าอยู่ในสภาพสิ้นท่า โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ดูริบหรี่มากขึ้นทุกวัน พูดจาปราศรัยต่อประชาชนไม่เร้าใจเฉียบขาด น่าเชื่อถือ เหมือนช่วงก่อน
ไม่ว่าจะใช้ลีลาไหน ก็ไม่ต้องตาโดนใจชาวบ้าน ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง คนอเมริกันที่เคยชื่นชอบทรัมป์ เริ่มมองว่าเป็นผู้นำมีปัญหาอย่างมาก ทั้งด้านความคิด นโยบาย พฤติกรรม มุมมอง และบทบาทต่างๆ ในฐานะผู้นำชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก
ยิ่งเป็นปัญหาอย่างหนัก เมื่อเพื่อนรัก มิตรยาวนานเช่นกลุ่มประเทศยุโรป เริ่มตีตัวห่าง ดูแล้วว่า ทรัมป์ไม่น่าจะเป็นเพื่อนน่าคบ ไว้ใจไม่ได้ พึ่งพาไม่ได้ด้วย แถมยังมองเพื่อนๆ ผู้นำประเทศในประชาคมยุโรปเหมือนเป็นลูกไล่ ไก่รองบ่อน เบี้ยล่าง
การแสดงตัวตนช่วงงานฉลองวันชาติสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม ทรัมป์ไม่แสดงให้ประชาชนอเมริกันมั่นใจในคุณภาพการเป็นผู้นำได้ แทนที่จะพูดให้คนอเมริกันมีความหวังในอนาคตท่ามกลางวิกฤตรุนแรงด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม แต่ไม่ทำ
ทรัมป์ไปปลุกระดมคนอเมริกันให้เห็นภัยร้ายกาจของกลุ่มฝ่ายซ้าย กลุ่มต้านฟาสซิสต์ กลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ ซึ่งมาจากผลพวงของการประท้วงต่อต้านพฤติกรรมของฝรั่งขาวที่ยังมีความคิดฝังหัวในเรื่องการเหยียดสีผิว จนเป็นวิกฤตของชาติในปัจจุบัน
ในสภาวะปกติ คนอเมริกันแตกแยกด้านความคิดเรื่องนโยบายสีผิวอยู่แล้วเพียงแต่ปะทุบางครั้งการพูดของทรัมป์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาก่อนวันหยุดยาว เป็นเพียงโหมโรง แต่ถูกตอกลิ่มให้ความขัดแย้งถ่างให้กว้างออกมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้
ทรัมป์พูดเรื่องการก่อการร้าย อ้างว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จ้องทำลายประวัติศาสตร์ งานศาสนา วัฒนธรรม เป็นกลุ่มซ้ายจัด กลุ่มผู้ต้องการสร้างสังคมใหม่ กลุ่มนิยมอนาธิปไตย กลุ่มนิยมหัวรุนแรง อ้างว่ากลุ่มผิวสีจ้องทำลาย เปลี่ยนประวัติศาสตร์
การกล่าวปราศรัยเสียงเจื้อยแจ้วในสวนกุหลาบหลังทำเนียบขาว พูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ นักวิเคราะห์มองว่าทรัมป์อยู่ในความคิดเคว้งคว้าง ไม่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงปัจจุบัน พยายามปลุกผีความรักชาติ เชิดชูวัฒนธรรมของคนอเมริกัน
และทำให้คนมองว่าทรัมป์อยู่ในสภาพ “จิตหลอน” เพ้อเจ้อ ดังที่มีการวิเคราะห์ในบทความของนักหนังสือพิมพ์คนดัง คาร์ล เบิร์นสทีน ที่ได้ขุดคุ้ยเรื่องวอเตอร์เกตในยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ซึ่งต้องลาออกจากตำแหน่งอย่างอัปยศ
เมื่อเทียบกับผู้นำชาติมหาอำนาจ 2 ประเทศ ซึ่งเป็นคู่แค้นของทรัมป์ นั่นคือ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ห่างชั้นกันมาก เพราะปูตินได้ชนะประชานิยมให้แก้กฎหมายแก้ไขให้ปูติน อยู่เป็นผู้นำรัสเซียได้อีก 2 สมัย จนอายุ 83 ปี
จะอยู่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งในอีก 2 สมัยที่ผ่านมา และจะอยู่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่จะต้องตรวจร่างกายปูตินว่ายังฟิตอยู่ เพราะต้องผ่านการเลือกตั้ง ถ้าคนรัสเซียไม่เลือก ก็เท่ากับว่าที่ปูตินได้มีโอกาสแต่เป็นต่ออีกไม่ได้
จากนี้ไป คืออีก 16 ปี ทรัมป์จะเป็นอะไร อยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้ายังอยู่จะในวัยกว่า 90 ปี และอยู่ในคุกหรือนอกคุก ก็ยังเป็นประเด็นให้คาดเดา เพราะไปยุ่มย่ามเกี่ยวโยงกับกิจกรรมซึ่งถูกมองว่าเป็นผลประโยชน์ มีทั้งโดยตรงและไม่ซับซ้อน
และคาร์ล เบิร์นสทีน มองว่าทรัมป์ อ่อนหัดเมื่อเจรจาความเมืองกับรัสเซีย โดนปูตินใช้ลูกล่อลูกชน ในการต่อรอง ทรัมป์หมดสภาพ เพราะตัวเองมัวแต่คุยโวโอ้อวดว่าเป็นผู้นำประเทศมีความสามารถ อัจฉริยะ มั่งคั่ง คนก่อนๆ ล้วนแต่ใช้ไม่ได้
ถ้าปูตินอยู่ได้อีกนาน ทรัมป์อยู่ได้เพียงสมัยเดียว สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?
ยิ่งเปรียบเทียบกับผู้นำจีน สี จิ้นผิง ซึ่งจะอยู่ได้อีกนาน หรือจนกว่าจะสิ้นชีวิต ทำให้ทรัมป์ไม่อาจเทียบได้ และผู้นำจีนและรัสเซีย มีสัมพันธ์อันดีอีกด้วย เป็นความแตกต่างอย่างมากด้านระบอบการเมือง แม้จะเป็นชาติมหาอำนาจด้วยกันก็ตาม
สถานภาพของทรัมป์ดูง่อนแง่นเมื่อสหรัฐฯ เป็นแหล่งใหญ่ของการระบาดของโคโรนาไวรัส ซึ่งทำให้คนอเมริกันติดเชื้อเกือบถึง 3 ล้านคน และตายเกือบ 1.4 แสนคน และช่วงนี้กำลังระบาดหนัก แทบมองหาหนทางสกัดไม่ได้ และทรัมป์ก็มีส่วนให้เป็น
การละเลย เพิกเฉยต่อคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ความแตกแยกทางการความคิดการเมือง ทำให้ขาดเอกภาพด้านนโยบายและมาตรการป้องกันเยียวยา ทั้งยังมีวิกฤตด้านเหยียดผิว เป็นปัญหาที่ทรัมป์ทำให้บานปลาย สร้างความแตกแยก
พูดจาปราศรัยหาเสียง ก็เน้นแต่การสร้างความร้าวฉานในกลุ่มคนอเมริกัน
ทรัมป์ดูเหมือนจะเคว้ง จับต้นชนปลายไม่ติด เมื่อคนผิวสีทำลายอนุสาวรีย์คนดังในประวัติศาสตร์ เริ่มจากคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักล่าอาณานิคมผู้ค้นพบอเมริกา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบทบาทในการค้าทาส สงครามกลางเมือง ทำให้ไปกันใหญ่
ทรัมป์ก็ได้แต่ฉวยโอกาสตอกลิ่มสร้างความรู้สึกแตกแยก หนักเข้าไปกันใหญ่ คนอเมริกันส่วนหนึ่งมองว่าทรัมป์จะทำให้ประเทศมีปัญหาระยะยาว และผู้นำเป็นตัวอันตรายต่อความมั่นคง อย่างที่นักวิเคราะห์และคนเคยร่วมงานกับทรัมป์ว่าไว้
สภาวะเช่นนี้ สหรัฐฯ กำลังถูกกลุ่มพันธมิตรในยุโรปไม่อยากใกล้ชิดด้วย เพราะไม่เป็นประโยชน์ จึงหันไปคบกับรัสเซีย และจีน ซึ่งมีผลดีกว่าด้านการค้า การเมือง ทรัมป์จะโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง เพราะไปดูหมิ่นคนยุโรปตั้งแต่ตัวเองเป็นผู้นำ
เดือนพฤศจิกายน เป็นวาระที่คนอเมริกันจะตัดสินใจว่าจะเอาทรัมป์เป็นผู้นำอีก 1 สมัยหรือไม่ และจอมอหังการจะมีหนทางใดฟื้นความตกต่ำเอาชนะใจคนได้