ผู้นำสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนอยู่ในสภาวะดวงตกอย่างหนัก ทำอะไรไม่ถูก ความนิยมของประชาชน อยู่ในภาวะต่ำทรุด เมื่อเทียบกับผู้นำคนก่อนๆ ในระยะเดียวกันของการดำรงตำแหน่ง แต่ทรัมป์รูดลงเร็วกว่าคนอื่นๆ มาก
ช่วงนี้ทรัมป์ ไม่กล้าสู้หน้าชาวบ้าน หลังจากตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19สหรัฐอเมริกายังเพิ่ม ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ยอดผู้เสียชีวิตก็มากขึ้นทุกวัน ทั้งยังไม่มีทางออกว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อการผลิตวัคซีน ยารักษายังเป็นไปไม่ได้ในเร็ววัน
ตัวเลขความนิยมของคนอเมริกันที่มีต่อทรัมป์ห่างจากคู่แข่ง โจ ไบเดน ถึง 2 หลัก ก็ยิ่งทำให้คณะจัดการรณรงค์การเลือกตั้งของทรัมป์อยู่ในภาวะระส่ำระสาย
ยิ่งมีข่าวปูดออกมาอีกว่าก่อนที่ทรัมป์จะไปเปิดการรณรงค์ที่เมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมา คณะทำงานได้เอาป้ายเตือนเรื่องการทิ้งระยะห่างทางสังคมออกจากสนามกีฬา จึงเป็นเหมือนการตอกย้ำให้เห็นว่าผู้นำประเทศไม่สนใจกับมาตรการป้องกัน
ที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่เคยสนใจประเด็นนี้ แม้แต่คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็ไม่เชื่อฟัง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย ซ้ำร้าย ทรัมป์ยังทำตัวให้รู้ว่าตัวเองไม่ชอบขี้หน้าผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่มีความเห็นขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการแถลงข่าวครั้งล่าสุดซึ่งเกิดขึ้นในรอบสองเดือน ทรัมป์ไม่มาร่วมด้วย มีคณะทำงานเรื่องโควิด-19 โดยรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์รับหน้าแทน และวาดภาพสวยหรูว่าการรณรงค์ที่ผ่านมาเป็นความสำเร็จของประธานาธิบดี
เพนซ์ อ้างหน้าตาเฉย เหมือนอยู่คนละโลก ทั้งๆ ที่ตัวเลขทั้งการติดเชื้อและการเสียชีวิตของคนอเมริกันยังไม่หยุด นับวันจะมีแต่เพิ่มเพราะมาตรการผ่อนคลายก่อนหน้านี้ ดังนั้น หลายรัฐมาเริ่มต้นใหม่ สร้างความเสียหายให้ผู้ประกอบการมาก
ช่วงหลังทรัมป์ถูกมองว่าได้เสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปเยอะ ไม่ว่าจะพูดหรือแนะแนวทางเรื่องอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมด ล่าสุดดันไปเขียนทวิตเตอร์ ว่าเห็นด้วยกับกลุ่มผิวขาวที่เขียนป้ายรณรงค์ยกย่องคนผิวขาว ก็ถูกคนเข้ามาด่าจนต้องรีบลบออก
นี่ก็สะท้อนให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิวและเชื้อชาติโดยการแสดงออกตลอดมา แม้กระทั่งกับคนอเมริกันซึ่งเป็นนักการเมืองด้วยกัน ช่วงนี้การรณรงค์เรื่องเหยียดสีผิวเข้มข้น ทำให้ทรัมป์อยู่ในสภาพที่เรียกว่าไปไม่เป็นนั่นเลย
การที่ผู้นำจอมห้าวจะเปลี่ยนท่าทีจุดยืนก็ยิ่งจะดูไม่เข้าท่า ภายหลังไปออกลีลาใหม่ หันไปรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างเชิงประวัติศาสตร์ หลังจากคนหลากสีผิวได้ประท้วง ทำลายอนุสาวรีย์บุคคลซึ่งโยงกับการเหยียดสีผิว
การที่ผู้นำทำเนียบขาวออกมาแนวนี้เพราะยังหวังว่าจะรักษาเสียงและความนิยมจากคนอเมริกันผิวขาวส่วนใหญ่ไว้ได้ และเป็นฐานเสียงสำคัญ ซึ่งผลจะตามมาว่าดีหรือไม่ดีนั้นคงต้องไปตัดสินในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน อีกไม่ถึง 5 เดือน
ตามโพลต่างๆ ชี้ว่าถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นในขณะนี้ ทรัมป์ จะเป็นผู้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งว่า เป็นผู้นำทำเนียบขาวเพียงแค่สมัยเดียว นั่นจะเป็นความอัปยศที่คนอหังการอย่าง ทรัมป์ จะทนรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นต้องไม่ให้เกิดขึ้น
ดูแล้วทรัมป์แทบจะหมดลูกเล่นจริงๆ ปล่อยลีลาอะไร ก็ไม่เข้าตาคนอเมริกัน!
ถ้าจะไปหาเรื่องจีนก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่ที่มีผลทำให้คะแนนนิยมถูกตีตื้นขึ้นมาได้ ทั้งการขึ้นภาษีสินค้าจีน คว่ำบาตร งดออกวีซ่าให้กับข้าราชการจีน หรือบริษัทของจีนที่ผู้บริหารสนับสนุนกฎหมายของจีนที่คุมด้านความมั่นคงในฮ่องกง
ยิ่งทำเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฐานคะแนนเสียง เช่นในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และภาคการค้าปลีก ซ้ำร้ายช่วงนี้คนอเมริกัน ไม่ได้รับการต้อนรับในหลายประเทศ แคนาดาปิดกั้นพรมแดนเพราะเชื้อโควิด-19
กลุ่มประเทศประชาคมยุโรปก็พิจารณาจะออกมาตรการห้ามคนอเมริกันเข้าพื้นที่เช่นกัน ช่วงการระบาดในยุโรป สหรัฐฯ ประกาศก็ได้ห้ามเครื่องบินจากยุโรปบินเข้าประเทศ ดังนั้นมาตรการครั้งนี้คงจะไปโทษกลุ่มยุโรปไม่ได้
ช่วงนี้มีข่าวที่ได้ช่วยหักเหความสนใจของคนอเมริกันได้บ้างเล็กน้อย เมื่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์และวอชิงตันโพสต์ ลงข่าวว่ารัสเซียได้ตั้งค่าหัวของทหารอเมริกัน ทหารพันธมิตรของสหรัฐฯ สำหรับหน่วยตอลิบาน ถ้าฆ่าได้ในอัฟกานิสถาน
อ้างว่าเป็นผลงานของหน่วยข่าวกรองกระทรวงกลาโหมรัสเซีย คือหน่วย GRU เป็นการอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาว และบอกว่าทรัมป์ ก็ได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองเรื่องนี้แล้วด้วย แต่ข่าวก็ถูกปฏิเสธโดยโฆษกทำเนียบขาว
ทรัมป์เองก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับการรายงานจากเจ้าหน้าที่ การรายงานของสื่อดังกล่าวจึงถูกปฏิเสธ ฝ่ายรัฐบาลรัสเซียก็ยืนยันว่าไม่ได้กระทำเช่นนั้น กองกำลังตอลิบานก็อ้างว่าไม่เคยมี ที่ผ่านมาก็อยู่ในช่วงการเจรจาสันติภาพกับสหรัฐฯ
ที่สำคัญเป็นช่วงที่ทหารอเมริกันก็จะถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานแล้วด้วย
ก่อนหน้านี้หน่วย GRU ก็ถูกกล่าวหาว่าได้ลอบสังหารชาวรัสเซียซึ่งเป็นสายลับสองหน้า คือนายเซอร์เก สคริพัล และลูกสาว ในเมืองซัลเบอรี โดยใช้สารกัมมันตรังสี
แต่ผู้นำรัสเซีย นายวลาดิมีร์ ปูติน ปฏิเสธว่ารัสเซียไม่มีส่วนกระทำ
ชะตากรรมของทรัมป์ตอนนี้จึงเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์หรือตัวช่วยที่มีพลังอย่างแรงกล้า โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งดูจะยากเย็นแสนเข็ญ แม้คู่แข่งไม่มีน้ำยา ไม่มีจุดเด่น แต่เป็นเพราะทรัมป์ทำผิดพลาดเอง
นั่นเป็นเพราะทรัมป์เชื่อมั่นในตัวเองสูงจนเวอร์ ลำพองอำนาจจนกร่าง ดำเนินนโยบายจนเป็นผลกระทบต่อคนอเมริกันและนักธุรกิจ จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก จนกระทั่งการระบาดของโควิด-19 มาซ้ำเติมสถานการณ์ทำให้เลวร้าย ไม่ยอมรับผิด