เปิดฉาก-เปิดผ้าม่านกั้งสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะไปดูประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่าง “คุณพ่ออเมริกา” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งผ่านการ “ทำลายสถิติโรค” ชนิดโลกทั้งโลกต้องตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน คือทำลายสถิติผู้ติดเชื้อไวรัส “COVID-19” เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ปาเข้าไปถึงเกือบ 40,000 ราย หรือ 39,818 ราย ในช่วงวันพฤหัสฯ (25 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ถือเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เชื้อโรคชนิดนี้ได้แพร่ระบาดในอเมริกา และสูงที่สุดในโลกอีกซะล่วย...
เรียกว่า...ไม่เพียงสามารถยึดครองตำแหน่ง “จ้าวโรค” ชนิดใครต่อใครวิ่งไล่กวด ไล่ตาม ยังไงก็ไม่ทัน คือติดเชื้อสะสมกันไปแล้วเป็นล้านๆ หรือประมาณ 2 ล้านราย แต่ถ้าว่ากันตามข้อสรุป ข้อสมมติฐานของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในอเมริกาเอง อย่างเช่นองค์กร “CDC” (Centers for Disease Control and Prevention) หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ ว่ากันว่า...ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในอเมริกาที่ปรากฏอย่างเป็นทางการในทุกวันนี้ เป็นเพียงแค่ 1 ใน 10 ของจำนวนผู้ติดเชื้อที่เป็นจริง หรือที่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ หรือนั่นเท่ากับว่า...บรรดาอเมริกันชนทุกวันนี้ ติดเชื้อ “COVID-19” กันไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านรายไปโน่นเลย แล้วแถมบรรดาผู้ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อทั้งหลาย ดันไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดเว้นระยะห่างทางสังคมเอาเลยแม้แต่น้อย พร้อมออกมาเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ ออกันอยู่ตามชายหาดในแต่ละแห่ง ไปจนถึงพร้อมออกมา “ประท้วง” รวมตัวไล่รื้อ “อนุสาวรีย์” ต่างๆ จนกลายเป็น “แฟชั่น” ไปแล้วในทุกวันนี้ ฯลฯ โอกาสที่เชื้อไวรัส “COVID-19” มันจะแพร่ จะระบาดกันไปถึงระดับไหนต่อระดับไหน ต้องมีระลอก 2 ระลอก 3 ตามมาหรือไม่ อย่างไร? ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้...
พูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่งอมๆ แงมๆ ไปทั้งประเทศ โอกาสที่จะ “Dead Again” ไม่ใช่ “Great Again” ย่อมเห็นๆ กันอยู่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ชนิดที่รัฐบางรัฐซึ่งเคยพยายาม “Re-open” พยายามเปิดบ้าน เปิดเมือง เพื่อดิ้นรนจากภาวะเศรษฐกิจซึ่งกำลังถดถอย กำลังว่างงาน ตกงานกันไปเป็นแถบๆ ระดับปาเข้าไป 40 ล้านรายเป็นอย่างน้อย เอาไป-เอามาแล้วกลับต้องหันมาปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดผับ ปิดบาร์กันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐเท็กซัส หรือฟลอริดา ด้วยเหตุเพราะ “อเมริกาตายก่อน”ค่อนข้างเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดเจนซะยิ่งกว่า “อเมริกามาก่อน” อันเป็นคำพูด คำสัญญาแบบลมๆ แล้งๆ ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ก็กำลังใกล้ๆ จะ “ตายก่อน” หรือแทบมองไม่เห็นทางรอด ทางไปใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย สำหรับความพยายามที่จะหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันอีกรอบ อีกสมัย ในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้...
หรืออย่างที่หนังสือพิมพ์ “เดอะ การ์เดียน” ของอังกฤษ...เขาสรุปไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ (27 มิ.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า โดยลักษณะอาการของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น แทบไม่ต่างไปจากตัวละครในเรื่อง “อวสานของเซลส์แมน” คืออะไรที่เคยโม้ๆ เคยคุยๆ เอาไว้ โดยเฉพาะคำพูด คำสัญญา หรือ “จุดขาย” ว่าด้วยการที่จะทำให้อเมริกากลับมา “Great Again” นั้น มันเป็นอะไรที่ “ขายไม่ได้” หรือ “ขายไม่ออก” อีกต่อไปแล้ว ชนิดที่ไม่ว่าคู่แข่ง คู่ชิง อย่างอดีตรองประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “โจวิตถาร” (Creepy Joe) หรือ “โจผู้เซื่องซึม” (Sleepy Joe) ก็แล้วแต่ จะอ่อนแอ ปวกเปียก หรือพิลึกกึกกือเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าดูจาก “ผลโพล” ครั้งล่าสุด ไม่ว่าโดย “The New York Times” หรือ “Siena College” ต่างให้ข้อสรุปไปในแนวเดียวกันว่า คะแนนนิยมของ “โจ ไบเดน” นั้น ยังนำห่าง ทิ้งห่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงประมาณ 14-15 จุดด้วยกัน...
ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่เหลือๆ อยู่ หรือสิ่งที่อาจช่วยให้ “ทรัมป์บ้า” มีสิทธิพลิกชนะคู่แข่งของตัวเอง ตามข้อสรุปของหนังสือพิมพ์อังกฤษจึงเหลืออยู่แต่เพียง “วิชามาร” ล้วนๆ คืออาจต้องอาศัยการปราบปราม การเล่นงานบรรดาผู้ประท้วงในอเมริกา ซึ่งอาจไปลงคะแนนให้กับพรรคคู่แข่งอย่างเดโมแครต การปล่อยข่าว ประเภทเฟคนิวส์ หรือฟัคนิวส์ทั้งหลาย ไปจนถึงขั้นอาจต้องอาศัย “การแทรกแซงจากต่างชาติ” ที่ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจน ว่าจะเป็นจีน เป็นรัสเซีย หรือเป็นใครกันแน่...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...สิ่งที่หนังสือพิมพ์ “เดอะ การ์เดียน” ไม่ได้หยิบยกมาพูดถึง ก็ถือสถานะของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ในสายตา “ต่างชาติ” หรือชาติต่างๆ นั้น ดูๆแล้ว...ไม่น่าจะเอื้ออำนวยใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ต่อความพยายามหวนคืนกลับมาเป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจที่สูงสุดในโลกอย่างอเมริกา คือยิ่งนับวัน...ยิ่งออกไปทาง “แม้พัดลม...ยังส่ายหน้าเลย” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดแม้แต่ผู้นำประเทศเสาหลักของยุโรป อย่าง “นางอังเกลา แมร์เคิล” แห่งเยอรมนี ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ 6 ฉบับ รวมทั้ง “เดอะ การ์เดียน” ไปเมื่อช่วงวันศุกร์ (26 มิ.ย.) ที่ผ่านมานี้ด้วยว่า...มีความเป็นไปได้ว่าประเทศผู้นำสูงสุดอย่างอเมริกาในยุค “ทรัมป์บ้า” นั้น กำลังจะถอนตัว หรือกำลังเลิกล้มความคิดที่จะเป็น “ผู้นำโลก” อีกต่อไป และนั่นเองที่ทำให้บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย ควรที่จะหันมามีปฏิกิริยาต่อแนวโน้มทำนองนี้แบบจริงๆ จังๆ หรือควรที่จะต้องหาทางเปลี่ยนค่าย ย้ายค่าย เลิก “เดินตามก้นอเมริกา” เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมา หรือเหมือนอย่างที่ “เราเคยโตขึ้นมาพร้อมกับความรับรู้ทำนองนี้...”
เหตุที่ทำให้ผู้นำเยอรมนีต้องออกมา “ส่ายหน้า” ต่อความเป็น “ผู้นำโลก” ของอเมริกาในทุกวันนี้...ก็คงมาจากกรณีที่ “ทรัมป์บ้า” ประกาศว่าจะถอนทหารอเมริกัน จำนวนประมาณ 9,500 นาย ออกจากประเทศเยอรมนี ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นเอง ด้วยเหตุผล ข้ออ้าง ที่ออกจะ “งก” อย่างเป็นพิเศษ หรืออ้างว่าเยอรมนีไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง ป้องกันตัวเอง ตามที่อเมริกาเรียกร้องหรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีอะไรทำนองนั้น ขณะที่ “นางอังเกลา แมร์เคิล” พยายามยืนยันว่า นอกจากเยอรมนีได้จ่ายงบประมาณความมั่นคงให้กับ “นาโต” เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี รวมทั้งยังพยายามเพิ่มศักยภาพในการป้องกันให้กับบรรดาทหารเยอรมนีอีกด้วย แต่กำลังทหารอเมริกันในเยอรมนีนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องประเทศเยอรมนีและยุโรปแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้อง “ผลประโยชน์ของอเมริกา” ควบคู่ไปด้วย...
ดังนั้น...การอ้างเหตุผลแบบ “งกๆ” เช่นนี้ จึงออกจะเป็นอะไรที่ “ฟังไม่ขึ้น” หรือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่ามหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างอเมริกาไม่คิดจะ “Great Again”หรือไม่คิดจะดำรงบทบาทเป็น “ผู้นำโลก” อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะถ้าไม่ได้คิดจะย้ายกำลังดังกล่าวไปอยู่ที่ประเทศโปแลนด์ ดังที่ใครต่อใครตั้งข้อสังเกต อันเป็นสิ่งที่ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างรัสเซีย เคยขู่ๆ เอาไว้ว่าถ้าเป็นไปในรูปนั้นคงต้องเจอกับการ“ตอบโต้” แบบดุเดือด รุนแรงของรัสเซียแน่ๆ แต่เอาเป็นว่าโดยสรุปรวมความแล้ว...การเปลี่ยนแปลงบทบาทของอเมริกาในยุค “ทรัมป์บ้า” จึงนำไปสู่ข้อสรุปของผู้นำเยอรมนีว่า ถึงเวลาแล้ว....ที่บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย จะต้องหันไปมี “ปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์” กับประเทศอย่างรัสเซีย นับจากนี้เป็นต้นไป...
และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้...จึงทำให้เมื่อช่วงวันศุกร์ (26 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ประเทศยุโรป 7 ชาติ อันประกอบไปด้วยเยอรมนี-ฝรั่งเศส-อังกฤษ-เบลเยียม-เอสโตเนีย-ไอร์แลนด์ และนอร์เวย์ จึงได้ร่วมออกแถลงการณ์คัดค้านแผนผนวกดินแดนเวสต์ แบงก์ หรือหุบเขาจอร์แดนของอิสราเอล หรือ “แผนสันติภาพของอเมริกา”ในตะวันออกกลางนั่นเอง ที่จะเริ่มต้นกระบวนการในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึง อันอาจถือเป็นภาพสะท้อนได้ว่า...โลกที่เคยมีมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาเป็นผู้นำมาโดยตลอดนั้น กำลัง “เปลี่ยนแปลง” หรือกำลัง “ไม่มีวันเหมือนเดิม” อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าผู้นำอเมริกาคนใหม่จะยังคงเป็น “ทรัมป์บ้า” หรือเป็น “โจวิตถาร” ก็ตามที...