เอเจนซีส์/เอพี – อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่มีประสบการณ์ทางต่างประเทศมายาวนานล่าสุดโจมตี โดนัลด์ ทรัมป์ว่า ทรยศในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ต่อหน้าที่ของตัวเองที่รู้เรื่อง “มอสโก” ให้ค่าหัวทหารสหรัฐฯ-อังกฤษกับกลุ่มติดอาวุธตอลีบานในอัฟกานิสถานแต่ไม่จัดการลงโทษรัสเซียทั้งๆ ที่รู้ แต่ทำเนียบขาวออกมาโต้ทั้งทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯไม่ได้รับรายงานตามนิวยอร์กไทม์สอ้าง เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ทั้งสหรัฐฯและรัสเซียเริ่มต้นเจรจากรุยทางความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนข้อตกลงสนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่าง 2 ชาติ
เอพีรายงานเมื่อวานนี้(27 มิ.ย)ว่า ทำเนียบขาวออกมาแถลงยืนยันว่า ทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ ไม่เคยรับรายงานข่าวกรองมอสโกให้ค่าหัวทหารสหรัฐฯ-อังกฤษแก่กลุ่มติดอาวุธตอลีบาน โดยเคลีห์ แม็คเคนานีย์ (Kayleigh McEnany) โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า
“นี่ไม่แสดงถึงคุณค่าของข้อกล่าวหาด้านการข่าวกรองแต่แสดงถึงความเป็นเท็จที่ผิดพลาดของในการรายงานของข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สที่ชี้ไปว่าประธานาธิบดีได้รับรายงานสรุปในเรื่องดังกล่าวแล้ว”
ทั้งนี้ในวันศุกร์(26) หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯได้ออกมาประเมินเมื่อหลายเดือนก่อนว่า ยูนิต 29155 ที่มีชื่อด้านความป่าเถื่อนสังกัดหน่วยข่าวกรองทหารรัสเซีย G.R.U อ้างอิงชื่อหน่วยจากเดลีเมล สื่ออังกฤษ นั้นอยู่เบื้องหลังการให้ค่าหัวแก่กลุ่มติดอาวุธตอลีบานสำหรับการสังหารทหารสหรัฐฯและทหารอังกฤษในอัฟกานิสถาน
ซึ่งในไม่กี่ปีที่ผ่านมาสื่ออังกฤษชี้ว่า พบว่าหน่วยนี้เกี่ยวข้องกับความพยายามลอบสังหารหรือแผนการโจมตีเพื่อทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพในโลกตะวันตก
แต่ในการเปิดเผยของนิวยอร์กไทม์สถือเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานนี้มีความเกี่ยวข้องกับการโจมตีกองกำลังชาติตะวันตกโดยเฉพาะกับกองกำลังสหรัฐฯ เกิดขึ้นท่ามกลางการเริ่มต้นกระบวนการความน่าจะเป็นที่จะมีการเปลี่ยนข้อตกลงการลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย หรือสนธิสัญญา New START (New Strategic Arms Reduction Treaty) ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
VOA สื่อสหรัฐฯรายงานในวันพุธ(24)ว่า ทั้งตัวแทนจากสหรัฐฯและรัสเซียที่ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า การเจรจามีความคืบหน้า แต่ทว่ายังมีปัญหาติดขัดหลายประการรวมไปถึง จีนออกมาแสดงความไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าร่วมในสนธิสัญญาใหม่ถ้าหากมีขึ้น
โดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์รายงานว่า ทรัมป์ต้องการให้ “จีน” เข้าร่วมในข้อตกลงใหม่หลังจากข้อตกลง New START ที่ยังคงเป็นข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ร่วมกับรัสเซียยังคงบังคับใช้หลังในปี 2018 ทรัมป์ได้ถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลางปี 1987 (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty)
ซึ่งในวันอังคาร(24) CNN รายงานว่า พบว่ารัฐบาลทรัมป์ได้ให้คำมั่นกับรัสเซียว่า สหรัฐฯจะไม่ทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในเวลานี้ แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะกระทำในยามจำเป็น
เอพีชี้ว่า อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สพบว่าผู้นำสหรัฐฯได้รับรายงานข่าวกรองและสภาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาว (White House National Security Council) ได้หารือถึงการค้นพบที่ประชุมในช่วงปลายเดือนมีนาคมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯและทั่วโลกต่างวิกฤตกับการระบาดโควิด-19
พบว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้เสนอทางออกตั้งแต่การประท้วงทางการทูตไปจนถึงการคว่ำบาตร แต่สื่อชี้ว่า ***ทำเนียบขาวยังไม่ได้อนุมัติ*** สื่อไทม์สรายงานโดยอ้างจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่
ซึ่งทำเนียบขาวได้ออกมาปฎิเสธในวันเสาร์(27)ว่า นอกเหนือจากผู้นำสหรัฐฯแล้วรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ ไม่ทราบเรื่องเช่นกันโดยอ้างว่าเขายังไม่ได้รับรายงานสรุป แต่ไม่ได้โต้แย้งว่าเรื่องที่รายงานโดยนิวยอร์กไทม์สนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ซึ่งหลังการรายงานออกมาทั้งรัสเซียและกลุ่มติดอาวุธตอลีบานออกมาปฎิเสธถึงเงินค่าหัวสังหารทหารอเมริกันและอังกฤษในอัฟกานิสถาน เอพีกล่าว
นอกเหนือจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส CNBC สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ในวันเสาร์(27) วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานโดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวระบุว่าหน่วยสายลับรัสเซียได้จ่ายกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถานให้โจมตีกองกำลังสหรัฐฯโดยอ้างจากกลุ่มคนใกล้ชิดกับงานข่าวกรองสหรัฐฯ โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า การประเมินได้ถูกส่งเข้าทำเนียบขาวในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นปีนี้
เดลีเมลรายงานว่า ***มีหลายครั้งที่มีการจ่ายค่าหัวเกิดขึ้นจริง*** ถึงแม้จะไม่มีการระบุจำนวนทหารสหรัฐฯประจำในอัฟกานิสถานที่ถูกสังหารเป็นผลมาจากเงินค่าหัวที่จ้างโดยพวกรัสเซียก็ตาม
ทั้งนี้พบว่าทหารอเมริกันเสียชีวิต 20 นายในปีที่ผ่านมาแต่ไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับรัสเซียหรือไม่ ทรัมป์ผลักดันให้สหรัฐฯลงนามข้อตกลงสันติภาพร่วมกับกลุ่มติดอาวุธตอลีบานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์แต่ทว่ากระบวนการสันติภาพไม่คืบหน้าและนับตั้งแต่นั้นพบว่ากลุ่มตอลีบานได้ลงมือก่อเหตุโจมตีเจ้าหน้าที่อัฟกันรายวัน ซึ่งในวันอังคาร(23) เจ้าหน้าที่ระดับสูงอัฟกันออกมาเปิดเผยว่า ในสัปดาห์ก่อนหน้ามีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอัฟกานิสถานเสียชีวิตจากการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายตอลีบานไปเกือบ 300 คน
CNBC สื่อสหรัฐฯชี้ว่า ขณะเดียวกันอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่เป็นที่รู้ว่ามีประสบการณ์ด้านนโยบายต่างประเทศและเป็นตัวเต็งที่จะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯกับทรัมป์ในปลายปีนี้ได้ออกมาโจมตีผู้นำสหรัฐฯในรายงานรัสเซียจ่ายค่าหัวทหารสหรัฐฯว่า หากรายงานที่ว่าเป็นความจริงจะถือว่า ผู้นำสหรัฐฯทรยศในฐานะประธานาธิบดีต่อหน้าที่ของตัวเอง พร้อมชี้ว่าการเป็นผู้นำของทรัมป์เป็นเสมือนของขวัญที่ประเคนมอบให้ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน
“ความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯทั้งหมดของเขาเป็นเสมือนของขวัญที่หยิบยื่นให้กับปูติน แต่นี่ไปไกลเกินคำว่าช็อก” ไบเดนกล่าวในรายการทาวฮอลแบบเสมือนจริงวันเสาร์(27)
และเสริมต่อว่า “เป็นการทรยศต่อหน้าที่ศักดิสิทธิ์มากที่สุดในประเทศแห่งนี้ที่พวกเราแบกรับในฐานะความเป็นชาติร่วมกันในการปกป้องและให้ยุทโธปกรณ์แก่ทหารในยามที่พวกเราส่งพวกเขาและเธอไปในที่อันตราย มันเป็นการทรยศต่อทุกครอบครัวชาวอเมริกันที่มีบุคคลอันเป็นที่รักกำลังรับใช้ชาติในอัฟกานิสถานหรืออยู่ที่ใดก็ตามในต่างแดน”
ไบเดนยังชี้ว่า “ไม่แต่ที่เขา(ประธานาธิบดีทรัมป์)ล้มเหลวที่จะคว่ำบาตรหรือใช้มาตรการใดๆที่แสดงต่อผลที่ตามมาให้กับรัสเซียสำหรับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศขั้นร้ายแรง แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าหาเสียงที่น่าอัปยศของตัวเองในด้านการป้องกันประเทศและลดคุณค่าของตัวเขาต่อปูติน”
ไบเดนชี้ว่า เขาถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งจริงจังในฐานที่เป็นพ่อที่มีลูกชายเคยทำหน้าที่เป็นทหารถูกส่งไปอิรักในปี 2008 โบ ไบเดน (Beau Biden) ที่ได้เสียชีวิตลงในปี 2015 ด้วยโรคมะเร็งสมอง
เดลีเมลรายงานเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากรัฐบาลสหรัฐฯที่รับรู้เรื่องนี้พบว่ารัฐบาลอังกฤษของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน รู้เรื่องรัสเซียด้วยเช่นกันจากการที่วอชิงตันได้แชร์ข่าวกรองให้ทางอังกฤษรับทราบเนื่องมาจากมีทหารอังกฤษในอัฟกานิสถานตกเป็นเป้า