ผู้จัดการสุดสัดาห์ - ถูกขโมยซีนหน้าตาเฉย...เมื่อไฮไลต์สำคัญของการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ เมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่ใช่พิธีหาม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ และไม่ใช่เรื่องที่ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ได้ผงาดขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค
ด้วยคิวของ “ลุงป้อม” กับ “เสี่ยแฮงค์” มีการฉายหนังตัวอย่างมาตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา หรือจะพูดให้ถูก คือ ฉายหนังตัวอย่างมาตั้งแต่การประชุมใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐครั้งล่าสุดเมื่อปลายปีกลายแล้วด้วยซ้ำ
ทว่า สปอตไลท์สาดไปจับจ้องคิวที่ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่โดดเด่นกว่าใครทั้งก่อนงาน ระหว่างงาน และหลังงาน
เพราะไม่เพียงแต่ได้ร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรค ในตำแหน่งเหรัญญิกพรรค ยังได้รับการอวยยศจาก “เลขาฯแฮงค์” ยกให้ “นฤมล” เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ
เท่านั้นแหละ “ทัวร์ลง” ทันที กลายเป็น “ทุกขลาภ” ที่ “มาดามแหม่ม” คาดการณ์ไม่ถึงว่าจะ หนักหน่วงเยี่ยงนี้
เกิดปรากฏการณ์ “ยี้นฤมล” ทั่วทุกระแหง ทั้ง “กองเชียร์-กองแช่ง” ต่างรุมสับ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ไร้ประสบการณ์-มือไม่ถึง
ไม่เพียงแต่ “อาจารย์แหม่ม” เท่านั้น หากแต่ยังเกิดปรากฏการณ์ “สหายสายเสี้ยมแห่งพลังประชารัฐ” ที่ดาหน้ากันออกมาทำหน้าที่กันขมีขมันเพื่อหวังเก้าอี้ “รัฐมนตรี” กันอย่างเอิกอีกต่างหาก
เปิดตำแหน่งตำนานแหม่มโพธิ์ไม่ดำ
เพราะแม้ “ศาสตราจารย์นฤมล” จะสาธยายโปรไฟล์ตัวเองสวยหรูอย่างไร แต่ก็ยังห่างลิบลับกับ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เป็นอดีตหัวหน้า และอดีตเลขาธิการ ชุดบุกเบิกก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ
ยิ่งไม่ต้องไปเทียบถึง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่คว่ำหวอดในยุทธจักรการเมืองไทย ในฐานะ “มือเศรษฐกิจ” ของหลายรัฐบาล
หรือในแง่ของประสบการณ์ทางการเมือง ก็ “อ่อนพรรษา” เพิ่งจะเป็น ส.ส.สมัยแรก ไม่เคยสัมผัสกับงานบริหาร นอกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัย “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ก็เป็น “อาจารย์สมคิด” เป็นผู้ฝากฝังให้ไปฝึกงานการเมือง
รู้กันดีว่า “สมคิด” ชื่นชอบปลุกปั้นดาวรุ่ง ดึงคนเก่งๆ ให้เข้ามาช่วยงานประเทศ แผง “เทคโนแครต” ทั้ง อุตตม สาวนายน, สุวิทย์ เมษิณทรีย์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กปั้นในอะคาเดมี “มาสเตอร์กวง” ทั้งนั้น
และ “มาดามนฤมล” ที่ไฟแรง เป็นศาสตราจารย์หญิงทั้งที่อายุยังน้อยมาทำเพื่อชาติ ก็เป็นเจนเนอเรชั่นล่าสุดในอะคาเดมี
แต่พอได้เข้ามาสู่ “วงจรอำนาจ” ไม่นาน “อาจารย์แหม่ม” ก็เริ่ม “ไม่เหมือนเดิม”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ “สมคิด” ไฟเขียวให้ “นฤมล” ไปร่วมตั้งไข่ก่อตั้งพรรคกับ “ทีมสี่กุมาร” ในฐานะคณะทำงานด้านนโยบาย พร้อมทั้งยังผลักดันให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในลำดับที่ 5 ที่เรียกว่าโซนปลอดภัยได้เป็น ส.ส.แน่นอน
เป็นตำแหน่งที่ “เหนือกว่า” แกนนำพรรคที่เป็น “รุ่นเก๋า” และมี ส.ส.คอนโทรล อย่าง วิรัช รัตนเศรษฐ - สันติ พร้อมพัฒน์ - เอกราช ช่างเหลา เสียด้วย
ว่ากันว่า เส้นทางของ “นฤมล” กำลังโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ดันเลือก “ชิงสุกก่อนห่าม” หลังจากพลาดหวังไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีอย่างที่ฝันไว้ แทนที่จะอดทนแสดงฝีมือในบทบาท ส.ส. ก็ตี “ผู้ให้กำเนิด” จากเข้าหาบุคคลที่พร้อมจะสนับสนุนตัวเองให้เป็นรัฐมนตรีได้ หันไปหาสิ่งที่คิดว่ากว่า
จากกันไม่ร่ำลาไม่เท่าไร ยังหันกลับทำร้ายกันอีกต่างหาก
ก็ในยามที่ “กลุ่มสี่กุมาร” เข้าตาจน ถูกสารพัดเกมการเมืองในพรรค ก็ว่ากันว่า “เจ๊แหม่ม” เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประชาทัณฑ์ผ่านการปล่อยข่าวด้วย
"รมต.แหม่ม” สงสัยฝันค้าง
หลังทิ้ง “ทีมเฮียกวง” ไว้ข้างหลัง“มาดามแหม่ม” ก็แวะไปอยู่กับ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วงหนึ่ง โดยผลักดันกันจนได้เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยแลกกับการสละตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ด้วยมองว่าการเป็น “โฆษกรัฐบาล” นอกจากจะได้อยู่ในสปอร์ตไลท์ของสื่อแล้ว ก็ยังจะได้ข้างกาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วย
ยังไม่ครบขวบปีดี เหมือน “นฤมล” มองว่าเก้าอี้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูเล็กไปสำหรับเธอ หรือถ้าอยู่ในมุ้ง “แกนนำ” ก็คงต้องต่อคิวรอเป็นรัฐมนตรี จึงหันหมุดหมายเข้าหา “ผู้มีอำนาจตัวจริง” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อต่อท่อความฝัน
ขณะที่ระยะหลังๆ ก็ไปสนิทสนมกับ “เจ้าพ่อเมืองมะขาม” สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง เจ้าของตึกรัชดาวัน ที่ใช้เป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ
เรียกว่า “ได้หมด ถ้าสดชื่น”
ในมิติการทำงานของ “นฤมล” ในหน้าที่โฆษกรับบาล ยิ่งแล้วใหญ่ หลายฝ่ายยกมือให้ “ไม่ผ่าน” โทษฐาน ปล่อยให้ “นายกฯ ตู่” และรัฐบาล ถูกฝ่ายตรงข้ามรุมสับ กว่าตื่นจากภวังค์ ก็ทำเอารัฐบาลน่วมไปทั้งตัวแล้ว
พลันได้รับตำแหน่ง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของพรรค ที่ถูกมองว่าเป็นการวัดรอยเท้าทาบชั้น “อาจารย์สมคิด” ด้วยแล้ว“กองเชียร์ - กองแช่ง” ก็เลยสามัคคีถล่ม “สาดเสียเทเสีย” แบบไม่เกรงใจตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” แม้แต่น้อย จน “โฆษกแหม่ม” กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” และถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก
ไม่เท่านั้นในการให้สุมภาษณ์ครั้งแรก ยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความมั่นใจ” ที่สูงปรึ๊ด เพราะไม่ปฏิเสธการรับตำแหน่งรัฐมนตรี บอกแค่ว่า “แล้วแต่ท่านนายกฯ”
จากนั้น “ศาสตราจารย์แหม่ม” ก็ถือโอกาสไล่เรียงประการณ์การทำงานเป็นฉากๆ ว่า เป็นอาจารย์สอนด้านการเงิน นอกจากสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย ถ้าสายงานวิชาการก็ทำจนเป็นศาสตราจารย์ นอกเหนือจากงานวิชาการ งานวิจัย ก็เป็นที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์มา 10 กว่าปี ในฝั่งตลาดทุน เป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารหลายแห่งในฝั่งตลาดเงิน และช่วยภาคเอกชน ธุรกิจในส่วนที่เป็นกรรมการ เป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ทำให้เข้ามาช่วยงานที่กระทรวงการคลัง
กลองดี-กลองดัง “นฤมล” รัวเองเสร็จสรรพ ครบเครื่องทั้ง “ตลาดเงิน-ตลาดทุน” เหมาะจริงๆ กับตำแหน่ง “แม่ทัพเศรษฐกิจ”
แต่ก็มีคำถามไปถึงบทบาท “โฆษกรัฐบาล” อยู่ไม่น้อย ทั้งที่ผ่านมา และล่าสุดกับ “ดรามาโค้ชฌอน” ที่มีกระแสข่าวว่า “เจ๊บิ๊กอาย” เป็นคนชักชวน “โค้ชฌอน” ฌอน บูรณะหิรัญ ไลฟ์โค้ชชื่อกระฉ่อน ไปปลูกป่าที่เชียงใหม่ ร่วมกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ ก่อนมาเป็นเรื่องเพราะปล่อยคลิปชื่นชม “ท่านประวิตรน่ารัก” ก่อนถูกแฉลามไปถึงเรื่องเงินบริจาคดับไฟป่าที่เชียงใหม่
ตามข่าวว่า ไม่ได้ชวนเปล่า ระดับ “อินฟลูเอนเซอร์ตัวทอป” ฟาดค่าตัวไปเบาะๆ “3 แสนบาท” แล้วมาปล่อยคลิปก่อน “ลุงป้อม” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค กะเสริมภาพลักษณ์เติมบารมีให้ แต่ดันกลายเป็นว่า กระชากภาพลักษณ์ “ลุงป้อม” และรัฐบาลให้ร่วงตามไปด้วย
มีการเชื่อมโยงว่า “อาจารย์แหม่ม” อาจจะเป็น “เจ๊บิ๊กอาย” คนที่ว่า ด้วยรูปลักษณ์ที่มักสวมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต หรือที่เรียกกันว่า “บิ๊กอาย” แม้จะมีเสียงติงว่าไม่ค่อยเหมาะสมในฐานะที่เป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาล
แต่พอเจอถามเรื่องนี้ที่กระทบกระเทือนภาพลักษณ์รัฐบาล “โฆษกนฤมล” ตอบปฏิเสธแค่สั้นๆว่า “ไม่รู้จัก” เท่านั้นเอง ทั้งที่ก่อนนั้นเพิ่งสาธยายโปรไฟล์หรูเริ่ดของตัวเองเป็นคุ้งเป็นแคว
ดราประเด็นร้อน “โค้ชฌอน” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ บทบาทของ “โฆษกแหม่ม” แตกต่างจาก “แหม่มโพธิ์ดำ” แฟนเพจอวตาร ที่ทวงถามความจริงจาก “เสี่ยฌอน” ถึงเงินบริจาคไฟป่าเชียงใหม่เหยียบล้านบาทอย่างเห็นได้ชัด
แหมมม ก็แค่ ชื่อแหม่มเหมือนกัน คนหนึ่งโพธิ์ดำ อีกคนตาโต แต่โพธิ์ไม่ดำ
เส้นทาง “นฤมล” ต่อจากนี้เข้าขั้นว่า ลำบาก เพราะกระแสสังคมต่อต้านชื่อนี้รุนแรง ตอนนี้อย่าว่า แต่ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เอาแค่ตำแหน่งรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/2 ยังยาก ยกเว้น “บิ๊กป้อม” สงสาร หลับหูหลับตาเข็นขึ้นภูเขา เพราะเห็นใจ
แต่มันก็ยังยากอยู่ดี เพราะชั่วโมงนี้ กระแสแรงว่า ชื่อของ “เฮียกวง” และลูกทีม 4 กุมาร อาจได้ไปต่อใน “โควตากลาง” คนมาใหม่ก็ไม่รู้จะไปแทรกเก้าอี้ตัวไหน
“นฤมล” ต้องไปแย่งชิงกับ “เสี่ยแฮงค์” เลขาธิการพรรค หรือแม้แต่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ที่ต่อคิวเข้าแถวอยู่
รอบนี้อย่างไรก็มีคนอกหักซ้ำสอง ส่อแววจะมีคนปิดห้อง “กรี๊ด” สนั่นเพื่อระบายความผิดหวัง
ส่องเส้นทางแก๊งราวี “สี่กุมาร”
ใครว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้วปัญหาความขัดแย้งจะจบ ก็เห็นยังมีแก๊งราวี “เฮียกวง” ไม่ยอมเลิกรา
แม้ว่า จะกวาดต้อน 4 กุมาร “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พ้นชายคาพรรคพลังประชารัฐในฐานะกรรมการบริหารพรรคไปได้แล้วก็ตาม
ล่าสุด ปล่อยขบวนพาเหรด ส.ส.เกรดบี เกรดซี ออกมาไล่ “สมคิด” พ้นรัฐบาล โดยอ้างว่า ไม่พอใจคำให้สัมภาษณ์ที่ยุแยงให้ “บิ๊กตู่” ยุบสภา
ทั้งที่ย้อนดูประโยคที่ “สมคิด” พูดระหว่างมอบนโยบายต่อสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ไม่มีตรงไหนเลยที่ยุยงส่งเสริมให้ยุบสภา มีแต่พูดถึงสถานการณ์ในประเทศสิงคโปร์
“รู้กันอยู่แล้วว่าประเทศไทยตอนนี้กำลังเจอพายุ คงไม่ใช่แค่ไทยประเทศเดียว ทุกประเทศในโลกกำลังเจอพายุลูกใหญ่ ดังนั้นพายุใหญ่ลูกนี้ถ้าไม่ตั้งรับดี ๆ จะเหนื่อยกันหมด เช่น สิงคโปร์ต้องยุบสภา เพราะคาดคะเนว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ลงมา ยุบก่อนเลือกตั้งจะได้มีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการตะเพิด “เฮียกวง” ครั้งนี้ น่าจะสืบเนื่องมาจากปฏิบัติการล้าง “กลุ่มสี่กุมาร”พ้นพรรคพลังประชารัฐ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่พอใจ
การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่ยุทธการ “เผาไร่อ้อยฆ่างูตัวเดียว” เพราะจะเห็นว่า รายชื่อกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดใหม่ แทบจะเป็นคนเดิมหมด ยกเว้น “บิ๊กป้อม” ที่เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค กับการล้างเครือข่ายของ “เฮียกวง” ออก
พูดง่ายๆ ยอมลงทุนเผาพรรค เพื่อจะไล่คนในพรรคไม่กี่คนออก แล้วกิน “สองเด้ง” มายึดเก้าอี้รัฐมนตรี
ทว่า ทุกอย่างมันไม่ง่าย การคิดว่า การที่ “สี่กุมาร” ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ต้องหลุดเก้าอี้รัฐมนตรีไปด้วย กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะ “บิ๊กตู่” ออกมาส่งสัญญาณชัดว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมี ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรี ในขณะเดียวกัน นายกฯ ก็ต้องมีคนที่เหมาะสม
“รัฐบาลจะทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่ประชาชน ไว้วางใจมาตลอด เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย และมาจาก ส.ส มีรัฐมนตรีที่มาจาก ส.ส. และมีรัฐมนตรีที่เหมาะสม ซึ่งนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องมีในส่วนตรงนี้”
ดังนั้น วันนี้แม้ “สมคิด แอนด์สี่กุมาร” จะไม่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นหลังพิง แต่มี “โควตากลาง” จาก “บิ๊กตู่” ที่ให้สิทธิ์อยู่ต่อได้ ซึ่งต่อไปก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่า ใครในพรรคพลังประชารัฐจะมาเลื่อยขาเก้าอี้
สำทับด้วย “โหร คมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ ที่ทำนายแบบฟันธงฉับว่า “ภายในเดือน ก.ค. จะปรับ ครม.ใหม่หลายตำแหน่งแล้วเสร็จ ได้เห็นรูปร่างหน้าตา ครม.ไม่มีการโละกลุ่มใดหรือทีมเศรษฐกิจ อย่างที่เป็นกระแสข่าว หากโละทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบัน รัฐบาลพังแน่นอน โดยนายกฯ จะพิจารณาคนดี คนมีฝีมือ เข้ามาเสริมทีม”
เมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ ขบวนการราวี “สมคิด” เลยต้องทำต่อเนื่อง เพื่อถอนรากถอนโคนให้สำเร็จ เพราะการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคกำลังไร้ผล โดยการใช้ ส.ส.แถวสอง แถวสาม เกรดบี เกรดซี ออกมาไล่ เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่ให้ “สมพงษ์ โสภณ” ส.ส.ระยอง พรรคพลังประชารัฐ ออกมาซัด “สนธิรัตน์” โดยอ้างว่า “สนธิรัตน์” ต่อว่านักการเมืองหิวโซ ต้องการถอนทุน
ต่อเนื่องด้วยการให้ “สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ” ส.ส.นราธิวาส ออกมาบีบ “อุตตม-สนธิรัตน์” ให้แสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค
หรือแม้แต่ การให้ “ชัยวุฒิ คมาธนานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกสวนแรงๆ แบบไล่ “สมคิด” กลับไปเลี้ยงหลาน เพราะไม่พอใจที่ “สมคิด” ระบุว่า เสียดายคนดีที่อยู่การเมืองไม่ได้
การราวีเงียบหายไปสักพัก หลังแผนล้าง 4 กุมารสำเร็จ กระทั่ง “สมคิด” ไปพูดที่เวที สสว. และมีการเอาไปตีความกันเองว่า ยุให้นายกฯยุบสภา เพราะไม่พอใจที่จะถูกเขี่ยออกจาก ครม. ทั้งที่ความจริงไม่มีนัยอะไร
แต่ก็อยากจะหาเรื่องต่อ ด้วยการให้ “ชัยวุฒิ” ออกมาคำรามแรงๆ ไล่ “สมคิด” พ้นรัฐบาล ต่อเนื่องอีกวัน ด้วยการให้ “เสี่ยต้อย” ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา ที่พูดในโทนเดียวกัน
ปกติ “ชัยวุฒิ-ชัยวัฒน์” ไม่ใช่คนก้าวร้าว และไม่นิยมออกสื่อเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จงใจออกมาพูด นั่นแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้มีการวางแบบแผน สคริปต์ เอาไว้แล้ว หรือมีการเซ็ตบทให้พูดนั่นเอง
ลำพัง “ชัยวุฒิ” พอเข้าใจ แต่ “เสี่ยต้อย” ห่างไกลคำว่า “ฝีปากกล้า” แต่มีรายการ “คุณจัดให้” พิมพ์ข่าวยัดชื่อใส่ให้เสร็จสรรพ ใครอ่านก็รู้ว่า ไม่ได้พูดเอง
สืบเสาะแบ็กกราวด์แต่ละคน “สมพงษ์ - สัมพันธ์ - ชัยวุฒิ - ชัยวัฒน์” ล้วนเป็น ส.ส.ในกลุ่มของ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล กับ “เสี่ยเฮ้ง” ทั้งสิ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “วิรัช-เสี่ยเฮ้ง” จะไม่รู้เรื่อง
แต่ก่อนคำให้สัมภาษณ์ห่ามๆ แบบนี้ ถือเป็นสิ่งที่มักออกจากปาก “เสี่ยเฮ้ง” บ่อย แต่มาระยะหลังๆ มีคนแนะนำให้ถนอมเนื้อถนอมตัว อย่าแสดงความก้าวร้าว เพราะเกรงว่า จะอดนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี จึงขอโลว์โปร์ไฟล์ไป เหตุนี้จึงถูกเพ่งเล็งว่า เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง
แก๊งนี้ไม่ชอบ “สมคิด” เป็นทุนเดิม เพราะขวางทางนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี เช่นเดียวกับ “นฤมล” ที่หาก “สมคิด” ยังอยู่ ตัวเองก็เกิดยาก ซึ่ง “บิ๊กตู่” นั้นมีข้อมูลหมดว่า ใครเป็นใครในพรรคพลังประชารัฐ
และมีรายงานว่า เหตุการณ์นี้มีคนถูก “กาหัว” แน่.