ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สัญญาณเริ่มชัด จับท่าที “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันก่อนกับรหัส “ยังไม่ปรับ”แต่ “ไม่ได้หมายความว่าไม่ปรับ”
เป็นความคืบหน้าที่เขยิบขึ้นมาอีกหน่อย เพราะก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่”มักจะย้ำแต่เพียงว่า“ยังไม่ปรับ” แต่ครั้งนี้มีพ่วงท้ายมาด้วย มันส่อเค้าให้เห็นว่า การปรับคณะรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว
สังเกตจากการที่พรรคพลังประชารัฐ เลื่อนปฏิทินการประชุมใหญ่วิสามัญ มาเร็วขึ้นเป็นวันที่ 27 มิถุนายน จากเดิมที่เอาไว้วันที่ 3 กรกฎาคม
ซึ่งมันชนกับการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 1-3 กรกฎาคมนี้ เหมือนเป็นการเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน
ตามที่กระแสข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า การปรับคณะรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นหลังจากพิจารณากฎหมายงบประมาณแผ่นดินเสร็จสิ้นไปแล้ว เพื่อไม่ให้สับสนอลหม่านระหว่างการพิจารณากฎหมายสำคัญ
เป็นอะไรที่สอดคล้องกัน กับที่โหรคสช. "วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ" ที่ออกมาทำนายว่า การปรับคณะรัฐมนตรีจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
แต่เหนือสิ่งอื่นใดไม่สำคัญเท่ากับท่าที “บิ๊กตู่”ที่ระยะนี้ หลุดประโยคเกี่ยวกับเรื่องคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง ที่ล่าสุดอยู่ๆ พูดเองว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มีรัฐมนตรีที่มาจากส.ส. และขีดเส้นใต้คำว่า“นายกฯก็จำเป็นต้องมีคนที่เหมาะสม”
ไม่สามารถถอดรหัสเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากต้องการส่งสัญญาณออกไปท่ามกลางการวิ่งเต้นของบรรดาส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐว่า “บิ๊กตู่”ก็มี “โควตาตัวเอง”หรือ “โควตากลาง”นั่นเอง
ไม่ใช่โค่น "อุตตม สาวนายน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน "สุวิทย์ เมษินทรีย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ออกจากผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐได้ แล้วเก้าอี้เหล่านี้ ส.ส.ที่เหลือในพรรคจะหวังมานั่งเองง่ายๆ
โควตาของนายกฯ อย่างที่ทราบกันคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นกระทรวงหลัก
และ ณ เวลานี้อาจหมายถึงกระทรวงพลังงานด้วย เพราะทุกคนที่มานั่งเก้าอี้นี้ “บิ๊กตู่”ต้องสแกนก่อนทุกคน อย่างที่มีข่าวว่าไม่ไฟเขียวที่จะให้ "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โยกมานั่ง เพราะติดภาพลักษณ์
ซึ่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนั้น ขณะนี้ฝ่ายที่ประสงค์จะนั่งต่างฝ่ายต่างแสดงความมั่นใจว่าตัวเองจะเข้าวิน โดยสนธิรัตน์ ได้บอกกับคนใกล้ชิด และส.ส.ว่าตัวเองจะนั่งอยู่ที่เดิม เพราะนายกฯพอใจผลงาน
แต่ขณะที่คนใกล้ชิด สุริยะเองก็เที่ยวประกาศบอกภายในพรรคว่า หนนี้สมหวังแล้วถึงขั้นจะเตรียมหอบป้ายชื่อไปไว้ที่โต๊ะทำงานรอเลย ทว่า หลายฝ่ายยังให้น้ำหนักว่า สนธิรัตน์ ซึ่งมีแรงหนุนจาก "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกแรง มีแนวโน้มมากกว่า เพราะสุริยะ ติดปัญหาเรื่องภาพลักษณ์
ด้านคนรอบตัว “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อติดโผรัฐมนตรีนั้น ทั้ง "อนุชา นาคาศัย" ส.ส.ชัยนาท "สุชาติ ชมกลิ่น" ส.ส.ชลบุรี และ "นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" แม้หลายฝ่ายจะฟันธงว่าได้ขึ้นเสนาบดีเป็นแน่ แต่ดูจากเก้าอี้ที่มีอาจไม่สมหวังกันทุกคน
"อนุชา" มีข่าวว่า มีโอกาสจะได้นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หากสุริยะได้โยกไปกระทรวงพลังงาน แต่หากสุริยะไม่สมหวัง ถึงตรงนี้ยังหาที่ลงไม่ได้
"สุชาติ" หมายมั่นปั้นอยากจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมาตั้งแต่ต้น เพราะพื้นที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม มีแรงงานจำนวนมาก ที่ผ่านมาผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่สนิทกับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เคยเสนอทีเล่นทีจริงให้สุเทพไปเอากระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมแทน เพราะเหมาะมากกว่า ตั้งแต่ยังเป็น “หม่อมเต่า”หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล หรือมาเป็น "เอนก เหล่าธรรมทัศน์" ซึ่งมีภาพนักวิชาการก็ตาม
ส่วน"นฤมล" นั้น แม้จะปรารถนาอยากเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แต่โอกาสจะสมหวังมีน้อย เพราะวันนี้ "สันติ พร้อมพัฒน์" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยอมถอยจากที่หวังจะเป็นรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งเป็นโควตาที่ “บิ๊กตู่”ต้องเลือกเอง จึงมีข่าวว่า ถ้าได้อาจเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่น่าจับตาตอนนี้คือ "ร.อ.ธรรมนัส" เพราะปัจจุบันส.ส.ในกลุ่มมีจำนวนมาก ยิ่งเลือกตั้งซ่อม 2 ครั้งล่าสุด สามารถกวาดชัยชนะ พาเด็กตัวเองขึ้นมาเป็น ส.ส.ได้ ทั้งที่ขอนแก่นและลำปาง ยิ่งในโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคใหม่ ได้ขยับขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค หากดูจากรายชื่อรองหัวหน้าพรรคคนอื่นๆ ถือเป็นรัฐมนตรีว่าการกันหมด มี ร.อ.ธรรมนัส คนเดียวที่ยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ อาจได้อัพเลเวลกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งในโควตาพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์”และ “ภูมิใจไทย”แม้จะมีข่าวลือมาตลอดว่า พรรคพลังประชารัฐ ที่มีส.ส.มากกว่าเดิม และเสียงของรัฐบาลไม่ปริ่มน้ำแล้ว จะดึงกระทรวงเศรษฐกิจกลับมา แต่ดูจากท่าที “บิ๊กตู่”ที่ยืนยันว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น ไม่น่าจะไปริบคืนให้เกิดแรงกระเพื่อมใหม่
สองพรรคแกนหลักน่าจะได้โควตาเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวผู้เล่น สำหรับพรรคภูมิใจไทยไม่น่าจะขยับอะไรแล้ว แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.ในสาย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" กำลังขยับแรง ซึ่งมี 3 ชื่อที่โผล่ออกมาว่า ส่งเข้าประกวดคือ อัศวิน วิภูศิริ กนก วงศ์ตระหง่าน และ อภิชัย เตชะอุบล อยู่ที่จะเคลียร์กันลงตัวหรือไม่
ซึ่งหากดูจากภาพงานเลี้ยงที่ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน กับอภิสิทธิ์ นั่งดื่มกินกันเพื่อสยบข่าวพรรคร้าว รอบนี้อาจมีโควตาสายอภิสิทธิ์ สมหวัง แต่ยังต้องดู เพราะ“บิ๊กตู่”ไม่ค่อยแฮปปี้กับก๊กนี้
ขณะที่พรรคเล็กที่ “เต้พระรามเจ็ด”มงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เสนอตัวรายวัน เป็นแค่งานโจ๊ก เพราะ “บิ๊กป้อม”เคลียร์พรรคเล็กได้หมดแล้ว ยกเว้น มงคลกิตติ์ กับพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ซึ่งก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร เพราะวันนี้เสียงรัฐบาลห่างกับฝ่ายค้านเยอะ
ที่ต้องจับตาดีๆ คือพรรคพลังท้องถิ่นไทของ "ชัชวาลล์ คงอุดม" ที่ผนึกกำลังกับพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยของ "ดำรงค์ พิเดช" ที่อาจได้เข้าวิน แทนที่พรรคชาติพัฒนา เป็นการสลับกันนั่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล หลังจาก "เทวัญ ลิปตพัลลภ" ได้โอกาสนั่งก่อนมา 1 ปีแล้ว
ส่วนพรรครวมพลังประชาชาติไทย ของสุเทพ ชื่อ "เอนก" ไม่มีผิดโผ อยู่แค่ว่าจะรักษาเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้หรือไม่เท่านั้น เพราะพรรคพลังประชารัฐ ก็อยากจะได้คืน และเอากระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม หรือกระทรวงการต่างประเทศ ที่ "ดอน ปรมัตถ์วินัย" จะขอพัก ไปให้แทน ซึ่งสุเทพ เองก็ไม่อยากจะเสียกระทรวงแรงงานเท่าไหร่
การยกเครื่อง ครม. ประยุทธ์ คงจะไม่เกินต้นก.ค. เสร็จแน่ และเป็นการปรับใหญ่อย่างพลิกหน้าเสื่อใหม่เลยทีเดียว