ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในขณะที่ “เกมการเมือง” กำลังห้ำหั่นกันอย่างหนัก ลามไปทุกพรรค ทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่กำลังเปิดศึกตบตีกันเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ “รัฐมนตรี” จนประชาชนเอือมระอา อยู่ๆ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา “เบอร์ 1” อย่าง “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ประกาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่าจะเดินหน้าบริหารประเทศแบบ “new normal” หลังวิกฤตโควิด-19
สังคมต่างก็อ้าปากค้างไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะ new normal ตามความหมายของ “ลุงตู่” ก็คือ การบริหารประเทศแบบ ที่มุ่งการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ด้วยแนวทางการผนึกทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ร่วมตรวจสอบประเมินผลการทำงานของภาครัฐ และการทำงานเชิงรุก
ทว่า เมื่อเหลียวมอง “โลกแห่งความเป็นจริง” ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองมิได้เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะในฝากรัฐบาลคือ “พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมพลังประชาชาติไทย” ที่ตกอยู่ในสภาพ old normal เสียมากกว่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงใน “พลังประชารัฐ” เผื่อดัน “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็น “หัวหน้า” และรื้อกรรมการบริหารพรรคโดยเขี่ย “กลุ่ม 4 กุมาร” ออกไป ก็เผื่อปูทางไปสู่ “การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)"
และปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การที่ “ค่ายลุงกำนัน” พรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่จู่ๆ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ก็ไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค หลังถูกคนในพรรคถล่มผลงานกระทรวงแรงงานในรอบเกือบ 1 ปี โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ก่อนลงมติให้ “ไม่ผ่านโปร” แบบไม่ไว้หน้ากัน มีส่วนเชื่อมโยงกับการปรับ ครม. เพราะเหมือนเป็นตัวเร่งที่ทำให้ “นายกฯ ลุงตู่” มี “ความชอบธรรม” ในการปรับคณะรัฐมนตรีมากขึ้น
ดังนั้น เรื่องวุ่นๆ ทางการเมืองในขณะนี้ ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่ามีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การจัดทัพเพื่อรองรับ “การเลือกตั้ง” ที่เริ่มมีสัญญาณให้เห็นออกมาเป็นระยะๆ โดยมีงบประมาณฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านเป็นหมุดหมายสำคัญในการสั่งสมกระสุนดินดำ
เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจถ้าเห็นชื่อ “กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ” หน้าตาเป็นเช่นนั้น ส่วนเก้าอี้ “รัฐมนตรี” ที่ต้องปรับร้อยเปอร์เซ็นต์ก็กำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจของ “ลุงตู่” ว่าจะเลือกเดินทางไหน ถ้าเป็นไปตามรายชื่อเดิมที่ปรากฏออกมาและประชาชนร้อง “ยี้” คะแนนนิยมของลุงตู่ก็จะหายไปเรื่อยๆ แต่ถ้าผสมผสานกับ “บุคคลที่น่าเชื่อถือ” ก็น่าจะช่วยทำให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้
หัวหน้าป้อม แค่ขัดตาทัพจริงหรือ?
คงไม่ต้องลุ้นกันแล้วกระมังสำหรับเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” เพราะไม่มีวันพลิกเป็นชื่ออื่น นั่นหมายความว่า “ลุงป้อม” จะกลายเป็น “หัวหน้าป้อม” สมตามความมุ่งมาดปรารถนาเสียที
ส่วน “อุตตม สาวนายน” ที่ เจอ “การเมืองแบบเก่า” เล่นงานไปเต็มๆ เพราะที่มาที่ไปของการถูกโค่นล้ม มีมูลเหตุมาจากเรื่องโควตารัฐมนตรีล้วนๆ หาใช้เรื่องการดูแล ส.ส.อย่างที่ “ฝ่ายแซะ” ป่าวประกาศก็ต้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าไปตามระเบียบ เพราะว่ากันตามเนื้อผ้า “อุตตม” ไม่ได้เป็นที่รังเกียจรังงอนอะไรของ “ลูกพรรค” เลย ด้วยรู้ดีว่าเรื่องการเลี้ยงดูปูเสื่อ จัดเสบียง เติมกระสุน นั้นอยู่ในวิสัยความผิดชอบของ “เจ้าของพรรคตัวจริง” ซึ่งทีมบริหารของพรรค ในยุค “สี่กุมาร” ของ “อุตตม” รวมไปถึง “เฮียสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ไม่พยายาม “แย่งซีน” ทาบบารมี “เจ้าของพรรค” จนห่างเหินกับ ส.ส.ในพรรค
การโค่น “อุตตม- สนธิรัตน์” ตลอดจน สุวิทย์ เมษินทรีย์ ออกจากตำแหน่งบริหารพรรค ไม่ใช่เพราะไม่พอใจในการบริหารพรรค เพราะทุกวันนี้ทุกคนก็ขึ้นตรงกับ “บิ๊กป้อม” อยู่แล้ว หากแต่ทุกคนต้องการโควตารัฐมนตรี ที่ “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” ได้นั่งเท่านั้น ครั้นจะไปไล่ออกจากคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วิธีที่ดีที่ง่ายที่สุดคือ การเขี่ยให้พ้นจากหัวหน้าพรรค, เลขาธิการพรรค และรองหัวหน้าพรรค โดยหวังว่าจะทำให้ให้หลุดเก้าอี้รัฐมนตรีโดยอัตโนมัติเสีย
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กระแสข่าวที่ปล่อยออกมาเวลานี้ว่า “หัวหน้าป้อม” จะเป็นแค่ “หัวหน้าขัดตาทัพ” เพียงแค่ 6 เดือน และหลังจากนั้นจะส่งมอบเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ให้กับ “ผู้ที่เหมาะสม” ต่อไปเพื่อเตรียมทำศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
“หัวหน้าพรรคคนต่อจาก พล.อ.ประวิตร จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป” ข่าวปล่อยเขาว่ามาอย่างนั้น และขยายความตามมาด้วยว่า ต้องการทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นสถาบันทางการเมือง มิใช่เป็นเพียงพรรคเฉพาะกิจ
หลายคนถึงกับลุ้นให้ “ลุงตู่” มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากันตามจริง ถ้าไม่ใช่ “ลุงตู่” ก็คงไม่มีใครมีบารมีเพียงพอที่จะสร้างคะแนนนิยมให้คนกลับมาเลือกพลังประชารัฐได้
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้ามีเคยมีการร่ำลือกันไปทั่วทั้งคุ้งน้ำแล้วว่า หัวหน้าคนถัดไปมีอักษรย่อ “พ.” จากนั้นก็เฉลยกันออกมาเสร็จสรรพว่า คือ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ทว่า เอาเข้าจริง ทำท่าว่าจะข่าวโคมลอย
แต่ถ้าจะมีความเป็นไปได้ ก็น่าจะไปลงตัวที่เก้าอี้ “เลขาธิการพรรคคนถัดไป” ถ้า “ลุงตู่” ตัดสินใจรับเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อจาก “ลุงป้อม”
สำหรับ “สองมิตรคิดการใหญ่” อย่าง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมศักดิ์ เทพสุทิน” ตามโผขึ้นแท่นเป็น “รองหัวหน้าพรรค” ทั้งสองคน ส่วน “เด็กในคาถา” คือ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ลงตัวที่ “เลขาธิการพรรค” ส่วน “เสี่ยเมืองมะขามหวาน” สันติ พร้อมพัฒน์ ก็ย้ายไปเป็น “ผู้อำนวยการพรรค” ตามบัญชาของ “หัวหน้าป้อม”
ส่วนรองอีก 2 คน ตกเป็นของ “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” และ “ผู้กอง-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”
ว่ากันว่า พปชร.ในเวอร์ชันนี้เป็นการวางยุทธศาสตร์ให้พรรคเข้าสู่โหมดการเมืองเต็มสูบ โดยวางหมากมองข้ามช็อตไปไม่เฉพาะแค่เรื่องปรับ ครม. จะเห็นได้จาก นักเลือกตั้งอาชีพอย่าง “สันติ-สมศักดิ์-สุริยะ-อนุชา” ต่างก็ผงาดขึ้นมาคุมอำนาจบริหารพรรค
แน่นอน หลายคนสงสัยว่า ทำไม “สองมิตร” คือ “สุริยะ-สมศักดิ์” และเด็กร่วมก๊วนอย่าง “เสี่ยแฮงค์-อนุชา” ถึงได้ใหญ่โตกันขนาดนี้ แต่เมื่อดูจากเกมแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้
เรื่องของเรื่องคือถ้ามีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นจริงถึงขั้น “ยุบสภา” และมีการเลือกตั้งใหม่ สถานการณ์ของพลังประชารัฐจะไม่เหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา เลือกตั้งครั้งที่แล้วต้องยอมรับว่า กระแส “ลุงตู่” ยังมาแรงในหมู่ประชาชน ประกอบกับความผิดพลาดในการวางยุทธศาสตร์ทางการเมืองกรณี “พรรคไทยรักษาชาติ” ได้ส่งผลทำให้ผู้คน “จำใจ” ต้องเทคะแนนให้พลังประชารัฐ ถึงขนาดทำเอาเจ้าของพื้นที่เมืองกรุงคือ “พรรคประชาธิปัตย์” ถึงกับสูญพันธุ์ไปจาก กทม.
แต่การเมือง ณ เวลานี้ไม่เหมือนเดิม คะแนนนิยมลุงตู่ดีขึ้นจากผลงานในการจัดการกับโควิด-19 ทว่า เมื่อเกิดความวุ่นวายในพรรค คะแนนนิยมก็ลดฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย บรรดากองเชียร์เริ่มถอดใจ บางรายถึงขนาดมองหาพรรคทางเลือกใหม่กันเลยทีเดียว
ดังนั้น จึงจำต้องวางยุทธศาสตร์กันใหม่ แต่ใช้ “วิธีเก่า” คือ อาศัย “นักเลือกตั้ง” ที่มีความชำนาญไปกวาดต้อน ส.ส.เข้ามาอยู่ในสังกัด และดูทรงแล้ว “สมศักดิ์ สุริยะ อนุชา” น่าจะเขี้ยวลากดินในเที่ยวนี้
ต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 3 คนคือเด็กในมุ้ง “ชินวัตร” เพราะฉะนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีกับคน “เพื่อไทย” ดังเช่นที่ทุกวันนี้ผู้คนก็สัมผัสได้ว่า มีการหลิ่วตาและรามือให้กันมาอย่างต่อเนื่อง เผลอๆ ถ้าทุกอย่างสุกงอมจะย้ายมาร่วมชายคากันอีกหลายรายในไม่ช้าเสียด้วยซ้ำไป เพราะเห็นแล้วว่า ตราบใดที่ไม่แก้ “รัฐธรรมนูญ” ถึงชนะการเลือกตั้งก็ไม่มีวันได้จัดตั้งรัฐบาล
ยิ่งในรายของ “สมศักดิ์” ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ธรรมดา เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เขาเป็นร่วมผนึกกำลังสร้าง “วังบังบาน” ของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาวของทักษิณ โดยมีน้องรักอย่าง “เสี่ยแฮงค์” ที่เวลานี้กำลังจะเป็น “แม่บ้านพลังประชารัฐ” เป็น “แม่บ้านวังบัวบาน” มาก่อน แล้วเมื่อ “สมศักดิ์” แยกออกมาสร้าง “วังน้ำยม” อีกมุ้ง “เสี่ยแฮงค์” ก็ตามมาเป็นแม่บ้านเหมือนเคย
เมื่อครั้งที่ “เสี่ยแฮงค์” เป็นแม่บ้านวังบังบานก็ทำหน้าที่เข้าตากรรมการ อัดฉีดค่าน้ำ ค่าเหนื่อย ค่าเดินทางให้ ส.ส.กลุ่มวังบัวบาน จนได้รับคำชมจากเจ๊แดงกันเลยทีเดียว
ส่วน “เจ๊แดง” กับ “สุริยะ” ก็เคยมีความสัมพันธ์อันดีมาแต่เก่าก่อนถึงขั้นเคยให้ความช่วยเหลือกันมาแล้ว
นี่ถ้าต่อไปสานสัมพันธ์กันถึงขนาดไปลากเอา “ยุทธตู้เย็น-ยงยุทธ ติยะไพรัช” เด็กเจ๊แดงเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วยละก็คง “ระเบิดเถิดเทิง” ไม่น้อย
จัดโผ รมต.ใหม่ สายตรงล้วนๆ
“ประสาร-ปรีดี-ไพรินทร์” มาแรง
เมื่อหมดเรื่องพรรคก็มาถึงเรื่อง “เก้าอี้รัฐมนตรี” ที่จะต้องมีการตบตีแย่งชิงกันต่อไป เพราะยังไม่อาจคาดเดาได้ว่า ใครจะอยู่ใครจะไป ขึ้นอยู่กับ “ลุงตู่” ว่าจะคิดแบบเก่าตามเกม “นักเลือกตั้ง” หรือจะคิดใหม่ยึดผลงานความเหมาะสมเป็นหลัก
และเวลานี้ก็ปรากฏชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” ออกมาให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่กระแสข่าวออกมาตรงกันแล้วว่า “ทีมเฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ไปทั้งพวง
แต่อีกกระแสเสียงก็แว่วมาว่า ถ้าจะ “เหลือ” ก็คงเป็นรายของ “เฮียสน” ที่ดูจะเก๋าเกมการเมืองมากกว่าใครเพื่อน เพราะเมื่อไล่เรียงดูแล้ว “เฮียสน” ก็มี “ส.ส.” อยู่ในมือกับเขาเหมือนกัน แถมยังมี “แบ็คอัพ” ที่ไม่ธรรมดาคอยหนุนหลังอยู่หลายสาย
ส่วน “โผ” คนอื่นๆ ที่ออกมา ก็ยังคงไม่แน่ชัดว่า “ลุงตู่” จะตัดฉับเข้าสู่การเมืองโดยใช้บริการนักเลือกตั้งตามรายชื่อที่ออกมาก่อนหน้านี้ คือ “สุริยะ” ไปนั่งกระทรวงพลังงาน “สมศักดิ์” ไปนั่งอุตสาหกรรมแทน “สันติ พร้อมพัฒน์” ไปเป็นรัฐมนตรีคลัง ฯลฯ เพราะฉับพลันเมื่อรายชื่อปรากฏ เสียงยี้ก็ระงมไปทั่ว โดยเฉพาะเสียงเชียร์จากบรรดา FC ลุงที่รับไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว “ลุงตู่” จึงจำต้องมี “สูตร 2” เป็นทางเลือก ซึ่งจะว่าไปก็มีรายชื่อปล่อยออกมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้ว เพียงแต่เจอบรรดานักเลือกตั้งเล่นเกมทวงเก้าอี้ตามโควตา ชื่อของ “สูตร 2” จึงแผ่วๆ ไป
ตามโผนี้มี “ดาวเด่น” อยู่ 3 คนคือ “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ไพรรินทร์ ชูโชติถาวร และปรีดี ดาวฉาย”
เป็นโผที่กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น “สายตรงลุงตู่”
ก่อนหน้านี้ชื่อของ ประสาร อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย และอดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปักหมุดอยู่ที่เก้าอี้รัฐมนตรีคลังแทน “อุตตม” เป็นชื่อแรก
แต่ระยะหลังชื่อที่มาแรงคือ “ปรีดี” ที่เวลานี้ สวมหมวกเป็น ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย รวมทั้งยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กลายเป็นตัวเต็งคือ เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลยทีเดียว
จะว่าไปทั้ง “2 ป.” คือ “ปรีดีและประสาร” ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “เด็กเก่าแบงก์กสิกร” ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครมา ทิศทางการบริหารประเทศก็น่าจะดำเนินไปแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศในห้วงเวลานี้หรือไม่
ส่วนไพรินทร์ที่พลาดท่าเพราะติดขัดข้อกฎหมายจากการบินไทย ว่ากันว่าจะมาเป็นพลังงาน เพราะมีความชำนาญการในเรื่องนี้ แต่ก็อาจต้องลุ้น เพราะมี “สุริยะ” จับจองเอาไว้อยู่ แล้วก็ “เฮียสน” ที่แบ็คอัพแข็งโป๊กด้วยทำงานในเก้าอี้ตัวนี้เข้าตากรรมการ เพราะฉะนั้นหวยอาจจะออกไปที่ “คลัง” ก็คงต้องไปจัดสรรปันส่วนกับปรีดีว่าจะลงเอยกันอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ คือเที่ยวนี้ “ลุงตู่” จะนั่งเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เอง(อีกแล้วครับทั่น)
ที่น่าสนใจคือ อาจมีรัฐมนตรีของพลังประชารัฐที่ผลงานไม่เข้าตา ก็มีสิทธิ์จะถูกลดชั้นไปนั่งกระทรวงที่เล็กลง อย่าง “ก๊วน กทม.” ของ “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” และ“เสี่ยบี-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ก็มีเสียวไม่น้อย เพราะตัว “เสี่ยตั้น” ผลงานไม่ค่อยเข้าตากรรมการแม้จะอยู่ “สายแข็ง” ก็ตาม ขณะที่ “เสี่ยบี” ก็โดน “มาดามเดียร์” กวาดต้อน ส.ส.กทม.ไปอยู่ในค่ายซึ่งๆ หน้า
ขณะที่ “เสี่ยแฮงค์” ด้วยความที่มีดีกรีเลขาธิการพรรคอาจไปเสียบที่ รมว.ศึกษา ส่วน “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ก็ลุ้นเก้าอี้ รมว.แรงงาน
“หม่อมเต่า”เซ็งเจ้าของพรรครับงานปรับ ครม.
ตัดภาพกลับมาที่ “พรรคสาขาของลุงตู่” อีกพรรคหนึ่ง คือ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)” ที่อยู่ๆ ก็เดินหมากพิสดารอย่างน่าสงสัย จนทำให้ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรค แบบเซอร์ไพรส์
ชนิดว่า ออกแล้ว ออกเลย เหมือนสามี-ภรรยา ที่หย่าขาดกัน
ผู้คนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกว่า “เจ้าของพรรคตัวจริง” อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ กปปส. และผู้ก่อตั้งพรรค กำลังทำอะไร
ไอ้เรื่องที่ว่ากันไปมาว่า “หม่อมเต่า” ทำงานไม่เข้ามาลุงกำนัน โดยเฉพาะการจ่ายเงินประกันสังคมให้กับผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ก็ไม่น่าใช่ เพราะที่ผ่านมา “เจ้าของพรรค” ก็เจ้ากี้เจ้าการ ราวกับ “จิกหัวใช้” ให้ทำนู่นทำนี่ เสมือนมี “หม่อมเต่า” เป็นหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีแค่ในนามเท่านั้น
มี “รัฐมนตรีสั่งการ” บงการให้เสร็จสรรพ ทุกวันนี้ทุกอย่างต้องไปตัดสินใจกันที่ “แปซิฟิกคลับ” ไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานหัวหัวหน้าพรรคแต่ประการใด
จะตัดสินใจอะไร จะผลักดันนโยบายอะไร “ลุงกำนัน” คิดเอง เออเอง ไม่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ทำเหมือนเป็น “หัวหลักหัวตอ”
เมื่อล้วงลูกกันขนาดนี้ ครั้นจะประเมินผลงาน “หม่อมเต่า” ให้ “ไม่ผ่านโปร” ก็ดูจะอำมหิตไปเสียหน่อย ในเมื่อทุกอย่างขึ้นตรงกับ “สุเทพ”
ดังนั้น กูรูการเมืองจึงฟันธงว่าน่าจะไม่ใช่ประเด็นนี้ ถึงใช่แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่น่าจะเกี่ยวโยงกับการสร้างความชอบธรรมให้ “ลุงตู่” ปรับครม.เพราะถ้าไม่มีใครลาออก อยู่ๆ จะปรับก็ใช่เรื่อง จะปรับเร็วอย่างที่คิดไม่ได้ ดังนั้น หวยจึงมาออกที่พรรคลุงกำนัน
ขณะที่ตัว “หม่อมเต่า” เองก็คงอึดอัดกับการทำงานที่ผ่านมาเป็นทุน เมื่อเจอเกมไม่ผ่านโปรเข้าให้ ตามประสาคนที่มี “อีโก้” อยู่ในตัวอยู่แล้ว จึงตัดสินใจถอนสมอเรือทันที
ด้าน “เทพเทือก” เองก็ไม่ได้สะเทือนกับการลาออกของ “หม่อมเต่า” ตีธงให้ผู้บริหารพรรคตั้งโต๊ะแถงไล่ส่ง พร้อมดัน “หมุ่นซินตึ๊ง” เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เสียบแทนในเก้าอี้ รมว. แรงงาน แต่ “ลุงตู่” จะเห็นด้วยหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่ก็แว่วมาว่าอาจลดชั้นไปอยู่กระทรวงเล็กๆ เพื่อถนอมน้ำใจอย่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ส่วน “ประชาธิปัตย์” ที่ปล่อยข่าวล่ารายชื่อถอดถอน “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกจากหัวหน้าพรรค ก็ไม่มีอะไรมาก สร้างข่าวหวือหวาได้ไม่นานก็ “ดับวูบ” หลัง “นายหัว” ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ “ผู้มากบารมีสูงสุด” ของพรรคสีฟ้า ออกมาปรามลูกพรรค
เป็นปัญหาซ้ำซาก จากกลุ่มเดิมๆ ที่เป็น ส.ส.ในสาย “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคลื่อนไหวสร้างแรงกระเพื่อมในพรรคแทบจะทุกๆ เรื่อง
ส.ส.กลุ่มนี้ นำโดย “เสี่ยตาน” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง, “บังวา” อันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี, “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และ “เสี่ยหนุ่ม” พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 4 กุมารแห่งประชาธิปัตย์ที่ปั่นทุกเรื่อง ป่วนทุกเวลา
เรื่องของเรื่อง เพราะตั้งแต่ “จุรินทร์” ได้เป็นหัวหน้าพรรค และนำทัพเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ ส.ส.กลุ่มนี้ก็กลายเป็น “หมาหัวเน่า” ตามวิถีของคนพ่ายแพ้
ไม่ได้รับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีแม้สักตัวเดียว ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นสายที่มีความสนิทกับ “จุรินทร์” แทบทั้งหมด
แต่ดูทรงแล้วคงไม่น่ามีการขยับทั้งในระดับพรรคและระดับพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจาก “ลุงตู่” คงไม่เข้าไปแตะในส่วนนี้ เช่นเดียวกับ “พรรคภูมิใจไทย”
ส่วนสุดท้ายแล้ว จะปรับกันออกมาแบบไหน อีกไม่นานก็รู้ว่า จะ new normal หรือold normal กันแน่.