xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

การเมืองไทยเละทุกพรรค “พปชร.” ยังไม่จบ- “ปชป.”แย่งเก้าอี้ รมต. “พท.” ฟัดกันนัว - “ก้าวไกล” จ๊ากเจ๊” ตีท้ายครัว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โควิดคลี่คลาย การเมืองปั่นป่วนทันที

ฝุ่นควันวิกฤตการณ์โควิด-19 ยังไม่จางดี สงครามแย่งชิงอำนาจตาม “ค่ายการเมือง” ก็ทวีความดุเดือดขึ้นมา รับศักราชใหม่เปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ ที่ดุลอำนาจภายในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างรัฐบาล-ฝ่ายค้าน พ้นภาวะปริ่มน้ำ ไม่ตรึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้

ฝ่ายค้านวันนี้เหลือ 211 เสียง ส่วนรัฐบาลทิ้งไปไกล 276 เสียง จากจำนวนเต็ม 487 เสียง เหลือให้ลุ้น 1 ไปกลับใครเพิ่มใครลด จากสนามเลือกตั้งซ่อมเขต 4 จ.ลำปาง ที่จะกาบัตรกันในวันที่ 20 มิ.ย.นี้

พอเกมการเมือง 2 ฝ่ายชักกร่อยๆ แต่ละค่ายก็เลยหันมาสร้างประเด็นช่วงชิงอำนาจภายในกันเองบ้าง

พรรคหลักๆ อย่าง “พลังประชารัฐ - เพื่อไทย – ประชาธิปัตย์” ไม่เว้นกระทั่ง “ก้าวไกล” น้องใหม่ที่รีแบรนด์มาจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต่างก็มีเรื่องปั่นป่วนภายในพรรคทั้งสิ้น

ศึกใน พปชร.อาจไม่จบ

เริ่มกันที่ซีกรัฐบาล “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่ หลังจาก “รุกฆาต” ล็อกคอให้ 18 กรรมการบริหารพรรคลาออก เพิ่มให้เกินกึ่งหนึ่งจากที่มีอยู่ 34 คน เข้าเงื่อนไขตามข้อบังคับพรรค ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพยกชุด กลายเป็นแค่ “รักษาการ” ขีดเส้นประชุมใหญ่เลือกกันใหม่ใน 45 วัน เดดไลน์ 15 ก.ค.นี้

เดิม “อุตตม-สนธิรัตน์” ก็นิ่งรอดูทิศทางลม แต่ “แก๊งป่วน” ยังโหวกเหวกไม่เลิก ที่สุดเคาะแล้ว 3 ก.ค.ประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ตามคิวส่ง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ออกจากหลังฉาก เถลิงบัลลังก์ผู้นำพรรค สมใจ “ลิ่วล้อ”

ทว่า ยังติดขัด “ทางเทคนิค” เล็กน้อย ด้วย “ว่าที่ขั้วใหม่” กลัวว่าจะคุมเสียงได้ไม่เบ็ดเสร็จ

ช่วงนี้ก็เลยพะเน้าพะนอเอาใจ วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรักษาการนายทะเบียนพรรค ที่ตามทรงแล้วอยู่กับทาง “สี่กุมาร” เป็นพิเศษ เพราะ “อดีตปลัดวิเชียร” กุมข้อมูลสมาชิกพรรคอยู่ว่าใครเป็นใคร เพื่อกำหนด “องค์ประชุม” ในการประชุมใหญ่ ที่เป็นเรื่องชี้เป็นตาย เกิด “เซอร์ไพร์ส” อีกขั้วพลิกเกมได้ขึ้นก็ยุ่ง

ทราบกันดีว่าเกมดัน “ลุงป้อม” ออกมาเชิดหน้าฉาก แค่บันไดก้าวแรก ที่ “ลิ่วล้อ -รมต.วอนนาบี” วาดหวังดันจริงๆให้กระทบชิ่ง “ปรับคณะรัฐมนตรี” ต่างหาก ทั้งที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เรื่องปรับคณะรัฐมนตรีเป็นอำนาจของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

ทั้ง “นักป่วน” ทั้ง “รมต.วอนนาบี” ฟังซะที่ไหน ถือว่าอยู่ในจุดที่ “ได้เปรียบ” ดุลอำนาจภายในพรรค หมุนเวียนเพียรหาตัวละครในคราบ “ฝ่ายค้าน-นักวิชาการ-หมอดู” ออกมาให้ข่าวตีปิ๊บกดดันเรื่อยว่า ต้องปรับตรงนั้นตรงนี้

แถม ส.ส.พลังประชารัฐบางคนในก๊วนถึงขั้น “วิเคราะห์แกมบังคับ” ว่ารัฐบาลมีจุดอ่อน ไม่ปรับคณะรัฐมนตรีไปไม่รอด

เรื่องปรับน่ะปรับแน่ อยู่ที่วัน ว. เวลา น. และ “ลุงตู่” จะปรับอย่างไรเท่านั้น

ที่สุด “รมต.วอนนาบี” อาจฝันค้าง คิดตื้นๆ ว่าเขี่ยกลุ่มหนึ่งออกไป แล้วจะยึดเก้าอี้มาให้ตัวเอง แต่ถ้านั่งในใจ “ลุงตู่” บอกเลย โควตาที่ริบคืนถือเป็น “โควตากลาง”

เก้าอี้ “ขุนคลัง” ที่ช่วงนี้ “นักเลือกตั้ง” มองว่า น่านั่งเป็นพิเศษ โดยมีชื่อของ “เสี่ยเมืองมะขามหวาน” สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่คาดว่าจับจองตำแหน่งเลขาธิการพรรคจ้องอยู่ ด้วยมีหน้าตักเป็นเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่กันไว้ “4 แสนล้านบาท” สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ถึงนาทีนี้มีการยื่นโครงการเข้าสู่ คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ที่มี ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธาน แล้วกว่า 6 แสนล้านบาท

คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการในรอบแรก ได้ในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้

เป็นเหตุผลที่กลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐเดินเกมแรงกดดัน “อุตตม” และบีบให้ “นายกฯตู่” ปรับคณะรัฐมนตรีเร็วที่สุด

ประมาณว่า ขืนช้าก็อดพร้าเล่มงาม เค้กก้อนใหญ่ก็หลุดลอย หากปล่อยให้มีการอนุมติโครงการจนเต็มวงเงิน “4 แสนล้านบาท”

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงปรับคณะรัฐมนตรีเร็ว เก้าอี้ รมว.คลัง ก็อาจไม่ขยับ เพราะว่ากันว่า “อุตตม” ถือว่า “สอบผ่าน” กับมาตรการเราไม่ทิ้งกัน จ่ายเงินเยียวยาได้ตามเป้า จนรัฐบาลโกยแต้มไปเป็นกอบเป็นกำ หรือถึงมีการขยับ ก็คงไม่ตกถึงท้อง “คนใน” ด้วยมีชื่อ “คนนอก” โปรไฟล์โดดเด้งเหมาะสมตำแหน่ง “ขุนคลัง” มากกว่า

ทั้งรายของ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม และอดีตซีอีโอ ปตท.ที่ “นายกตู่” รู้มือและวางใจ รวมไปถึงรายของ ปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และ “บิ๊กรวงข้าว” กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ที่ว่ากันว่ามีเทียบเชิญจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” ให้มาช่วยขับเคลื่อน SMEs เป็นอาทิ

ขณะที่ “เสี่ยๆ” ทั้งหลายในพรรคอาจ “อกหัก” กันอีกรอบ ทั้ง “เฮียเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และประธาน ส.ส.ของพรรค หรือ “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท และรองประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่เป็น “สำรอง 1-2” แต่งตัวรอตั้งแต่หนก่อน อาจ “แต่งตัวเก้อ” อีกรอบ ด้วยที่ผ่านมาออกฤทธิ์ปั่นป่วนจน “ผู้ใหญ่” ชักไม่ปลื้ม

กระทั่งกระทรวงพลังงาน ที่ว่ากันว่าช่วงชิงกันระหว่าง “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กับ “เสี่ยตั้น” ณัฐฏพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ก็อาจไม่ใช่ “คนใน” อีกเช่นกัน

แล้วยังสร้างปัญหาขุ่นเคืองให้ “พี่น้อง ป.” อีก เมื่อ “ลิ่วล้อ” ยุให้ “ลุงป้อม” ที่วันนี้ถือเป็นรองนายกฯ “ขาลอย” ไม่ได้มี “หน่ว
ยงานพรีเมียม” ดูแลเหมือนสมัยก่อน ให้ขอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กลับมาดูแลเช่นเดิม สอดรับกับข่าว “บิ๊กบางคน” พยายามรีเทิร์น หาก “พี่ใหญ่” ได้คุมตำรวจจริง

หรือแซะเก้าอี้ “คลองหลอด” ของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ด้วยว่า หากให้สมศักดิ์ศรีหัวหน้าพรรค “ลุงป้อม” ต้องเป็นรองนายกฯควบ รมว.มหาดไทย

ใครยุแหย่อย่างไร ก็คงรับผลกรรม เห็นว่าหลังปิดจ๊อบทั้งพรรค ทั้งคณะรัฐมนตรี มีรายการ “เช็คบิล” พวกที่ออกฤทธิ์เดชมากๆ

โดยเฉพาะ “โต้โผใหญ่” ที่มีคดีทุจริตค้างอยู่ในชั้นอัยการ แว่วว่ากดปุ่มไฟเขียวผ่านตลอด ส่งฟ้องเร็วๆนี้แน่

ลูกไม้ “เด็กดื้อ ปชป.” แค่ขย่มรอเสียบ

มากันที่ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่กลัวจะน้อยหน้า ในฐานะต้นตำรับ “ดรามาการเมือง” เหมือนพรรคอื่นปั่นป่วน ก็เอากับเขาบ้าง

หลังมีกระแสข่าวว่า กำลังมีการเคลื่อนไหวรวบรวมรายชื่อกรรมการบริหารพรรคให้ได้ “เกินกึ่งหนึ่ง” จากที่มีอยู่ 39 คนตามโครงสร้างพรรคให้ลาออก เพื่อขอให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

เรียกว่าเดิมตาม “พลังประชารัฐโมเดล” อย่างไรอย่างนั้นเลย

ย้อนไปก่อนจะเกิดวิกฤตโควิดต้นเดือน ก.พ. “บังวา” อันวา สาและ ส.ส.ปัตตานี และรองเลขาธิการพรรค เคยร่วมลงชื่อกับ ส.ส.ของพรรคจำนวน 9 คน เพื่อเรียกร้องขอให้ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน เปิดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อระดมสมองแก้ปัญหาภายในพรรค

หลังเกิดภาวะ “เลือดไหลออก” มีทั้ง ส.ส.และสมาชิกของพรรคทยอยลาออกจากพรรค ตั้งแต่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - กรณ์ จาติกวณิช รวมทั้ง ปรีชา มุสิกุล อดีต ส.ส.กำแพงเพชร พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมช.สาธารณสุข และบรรดาคนรุ่นใหม่ของพรรค ที่ทยอยลาออกจากสมาชิกพรรค อย่างต่อเนื่อง

และช่วงต้นเดือน มี.ค. ก็เป็น “เสี่ยโต” อภิชัย เตชะอุบล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ได้ลาออกนำร่องจากตำแหน่งเหรัญญิกพรรค ที่ถือเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย โดย “อภิชัย” นั้นถือเป็นนายทุนพรรคในสายของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรค ที่ลาออกจาก ส.ส.ไปตั้งแต่พรรคตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล

จากนั้น “ค่ายสะตอ” ก็เตรียมจัดประชุมใหญ่ในวันที่ 29 มี.ค. แต่ต้องเบรกไว้เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

พลันที่สถานการณ์คลี่คลาย เริ่มปลดล็อกการทำกิจกรรม “บังวา” ก็เลยจุดพลุการปรับเปลี่ยนในพรรคขึ้นมาอีกรอบ และเดินแรงให้เข้า “เดดล็อก” ตามตามข้อบังคับพรรคที่ว่า หากมีกรรมการบริหารพรรคเกินกึ่งหนึ่งลาออก จะทำให้กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะและต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วันนับแต่วันพ้นตำแหน่ง

โดย “บังวา” ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ส.ส.เด็กดื้อ” ที่มัก “โหวตสวน” กับแนวทางของรัฐบาลมาโดยตลอด จนสร้างปัญหาเมื่อครั้งรัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” ถึงขั้นที่ “บิ๊กตู่” ต้องเรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาดินเนอร์เคลียร์ใจมาแล้ว

อาจจะพูดได้ว่า กลุ่ม ส.ส.แหกคอก ทั้ง “บังวา” รวมไปถึง “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงษ์, “เสี่ยตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย และ “เสี่ยหนุ่ม” พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่ก่อนหน้านี้จ้องจะโหวตสวนอยู่เรื่อย ต่างก็เป็นกลุ่ม ส.ส.ที่ใกล้ชิดกับ “อภิสิทธิ์” อดีตหัวหน้าพรรค จึงแสดงบทบาทในเชิงต่อต้านการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล คสช.อ้างเพื่อไม่ให้พรรค “เสียหลัก” ไปมากกว่านี้

แต่ลึกๆอ่านไม่ยาก ว่าที่พยายาม “แตกแถว” ก็เพื่อสร้างราคาต่อรองในการเข้าไปเป็นรัฐมนตรีบ้าง อันเป็น “ลูกไม้การเมือง” เดิมๆ ของ “พรรคแมลงสาบ”

เสียงเม้าจาก “ก๊วนกอล์ฟการเมือง” หลายวง ดังมาถึงสภาฯว่า ไม่นาน “บังวา -อันวา” เตรียมขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีหนแรกกับเขาบ้าง จึงอาจเป็นเหตุผลที่ “บังวา” ออกหน้าเขย่าพรรคและรัฐบาลมาโดยตลอด

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า การบริหารพรรคภายใต้การนำของ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค ที่เป็นรองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ก็ไม่ถูกใจลูกพรรค เพราะยึดสไตล์ “รวมศูนย์” ห่างเหินกับ ส.ส.ยิ่งเสียกว่าก่อนได้เป็นหัวหน้าพรรคเสียอีก ทั้งที่เมื่อตอนได้รับตำแหน่งประกาศโครมครามขอความร่วมมือลูกพรรคร่วมทำงานเป็นขบวนการ “อเวนเจอร์” แต่เอาเข้าจริงกลับ “เลือกที่รัก มักที่ชัง”

ขาดภาวะผู้นำในการบริหารภายในพรรค ทั้งกรณีสมองไหล แกนนำและสมาชิกพรรคทยอยลาออกอย่างสิ้นเชิง

และยังมี “จุดแตกหัก” เมื่อช่วงวิกฤตโควิด มีการขนข้าวสาร 25.5 ตัน ไปแจกให้เฉพาะ จ.พังงา พื้นที่ของ “จุรินทร์” เพียงจังหวัดเดียว ทั้งที่พื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัดที่เป็นฐานเสียงของพรรคต่างประสบความเดือดร้อนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

มีการเปรียบเทียบไปถึงยุคของ “มาร์ค – อภิสิทธิ์” ว่าเวลาจัดส่งถุงยังชีพ แจกจ่ายลูกพรรคทุกเขตเลือกตั้งอย่างทั่วถึง และไม่เลือกปฏิบัติ

ที่หนักที่สุด คงเป็นการวางสถานะเป็น “ลูกไล่” พรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาลในทุกเรื่อง สิ้นศักดิ์ศรีความเป็น “พรรคเก่าแก่” จนเห็นภาพอนาคตของพรรค “สาละวันเตี้ยลง” จากผลการเลือกตั้งต้นปี 62

มีการวิเคราะห์กันไปว่า เกมล่าชื่อกรรมการบริหารพรรคครึ่งหนึ่งนั้นต้องการโค่น “จุรินทร์” จากตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยมีชื่อ “อภิสิทธิ์” ที่ยังเป็นสมาชิก และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กลับมานำพรรค

บอกได้เลยแค่ “เป้าหลอก” เพราะหากยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับ “ค่ายลุงตู่” อยู่ “อภิสิทธิ์ ก็ไม่มีสิทธิ์รีเทิร์น หรืออย่างไอเดียให้ ชวน หลีกภัย ขัดตาทัพไปก่อนก็ดูจะไม่เหมาะ ติดที่ “นายหัวชวน” เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง หลายคนเริ่มเบือนหน้าหนี ตั้งแต่ “นายหัวตรัง” พลิกลิ้น รับตำแหน่งใหญ่แล้ว

สุดท้ายเรื่องวุ่นๆใน “ค่ายสะตอ” ไม่ต้องคิดลึกมากมาย แค่เขย่ารัฐมนตรี หวังเสียบแทนเท่านั้นแหละ

“เพื่อไทย” ใครแคร์-ใครไม่แคร์

หันมาที่ซีกฝ่ายค้ายที่ต้องเรียกว่าเป็น “มหากาพย์” ของ “ค่ายทักษิณ” พรรคเพื่อไทย ที่หลังจากพลาดพลั้ง ได้ ส.ส.มามากที่สุด แต่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ก็ตบตีแย่งชิงอำนาจกันไม่เลิก

แถมบทบาทแกนนำฝ่ายค้าน ก็เสียเหลี่ยมการเมือง ให้กับ “น้องใหม่” ให้กับ “ค่ายธนาธร” ทั้งอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกลในวันนี้

ที่ผ่านมาการทำงานของพรรคเพื่อไทยเรียกว่า “ไร้เอกภาพ” อย่างสิ้นเชิง เวลาเกิดปัญหาก็โทษกันไปมา ระหว่างทีมยุทธศาสตร์พรรค ที่นำโดย “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับทีมบริหารพรรค ของ “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีเงาของ “เฮียอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรค ที่วันนี้กินตำแหน่งที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อยู่เบื้องหลัง

เกิดเรื่องทีไรต่างฝ่ายต่างโร่ไปฟ้อง “เถ้าแก่แดนไกล” อยู่เรื่อย

ล่าสุดยังมา “ผิดคิว” ในศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 4 ลำปาง ที่ “เจ้าพ่อดอยเงิน” พินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.หลายสมัย เกิด “ถอดใจกะทันกัน” ไม่ยอมไปลงสมัครรักษาที่นั่งลูกชาย “เสี่ยหน่อย” อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ที่เสียชีวิต

รายการเบี้ยวนัดที่ จ.ลำปาง ก็เพิ่มน้ำหนัก “ปัญหาภายใน” พรรคเพื่อไทย ขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ ขนาด ส.ส.เพื่อไทย เดินในสภาฯยังถูกเพื่อนถากถาง “ล้มมวย” สนุกปาก แถมยังมีผลเลือกตั้งซ่อมที่ “ขอนแก่น-กำแพงเพชร” ที่พรรคเพื่อไทยแพ้รูดให้ล้อหนักไปอีก

ขณะเดียวกัน “เสี่ยอ้วน – ภูมิธรรม” ก็นึกสนุกไปตั้ง “กลุ่มแคร์” (CARE-Continue Ability Renew Efficiency) ร่วมกับ“เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตแกนนำและนายทุนพรรคไทยรักไทยและ 2 หมอคู่บุญ ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี

หลังจากที่มีการต่อสายแสดงความไม่พอใจการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยของ “หญิงหน่อย” ไปฟ้อง “เถ้าแก่ทักษิณ” อยู่ตลอด ถึงขนาดที่ “คนแดนไกล” ต้องถามกลับว่า “มันขนาดนั้นเลยหรือวะ...” และปัดรำคาญทำนอง “..ทนไม่ไหว ก็ไปตั้งพรรคใหม่”

ตั้งกลุ่ม เตรียมตั้งพรรคไม่ว่า แต่ดันมีข้อความหลุดมาจากไหนไม่ทราบได้ว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ความหวังของประชาชน” เป็นเหตุให้ต้องตั้งกลุ่มตั้งพรรคกันใหม่

ฟังแบบนี้ “ทีมเจ๊” ปรี๊ดแตก นัดแนะกันเปิดฉาดถล่ม “กลุ่มแคร์” ในการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเป็น “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข กรรมการยุทธศาสตร์พรรค ที่เปิดฉากสาปส่งอย่างรุนแรง ช่วงหนึ่งว่า “ไม่แปลกใจที่บางคนจะไป แต่ถ้าจะไปไม่ควรจะทำลายที่นี่ คำพูดที่บอกว่า ต้องออกไป เพราะว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นที่หวังของประชาชนเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้ ถ้าเปรียบเป็นผัว-เมีย เมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกกันไป ไม่ใช่ปักหลักอยู่ในบ้านอย่างนี้ถือว่าเห็นแก่ตัว”

ตามมาด้วยอีกหลาย ส.ส. หรือที่ไม่ใช่ ส.ส.ร่วมวงถล่ม “กลุ่มแคร์” กันอย่างดุเดือด

พลันที่ข่าวหลุดออกมาอย่างเป็น “ขบวนการ” โดย “ผัวเมียผู้สมัคร ส.ส.กทม.” ที่หวังกระแทกไปถึง “กลุ่มแคร์” หรือพูดให้ถูกกระแทกไปถึง “เฮียอ้วน - ภูมิธรรม” คนกลางอย่าง” เฮียพงษ์” ที่เป็นหัวหน้าพรรค ก็ต้องออกมา “หย่าศึก” โดยการนัดแถลงข่าวร่วมกับ “คุณหญิงหน่อย” ที่สภาฯ โดยยืนยันว่ามีความกลมเกลียวก็ดี ส่วนใครจะแยกตัวไปตั้งพกลุ่มหรือตั้งพรรคใหม่ก็ถือเป็นสิทธิ์ และถือว่าเป็นเพราะรัฐธรรมนูญออกแบบมาเช่นนี้

ทว่า เรื่องความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่จบ เพราะทราบกันดีว่า “เฮียพงษ์- เจ๊หน่อย” ไม่ใช่คู่กรณีกัน แต่เป็น “เฮียอ้วน - ภูมิธรรม” ที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะไม่ได้ถูกเอ่ยชื่อตรงๆ มากกว่า

ไม่เพียงแต่ไม่ตอบโต้ใดๆ “เฮียอ้วน - ภูมิธรรม” ยังไม่แคร์อีกต่างหาก พร้อมประกาศศักดาว่า ในการประชุม “กลุ่มแคร์” ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมหลากหลายมากขึ้น และเพื่อให้การทำงานมีความชัดเจนมากขึ้น จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 มิ.ย. ที่ Voice Space ถ.วิภาวดีรังสิต อีกด้วย

เอาเข้าจริงชื่อ “กลุ่มแคร์” น่าจะย่อมาจาก “กลุ่มไม่แคร์เจ๊” ต่างหาก


“ก้าวไกล” จ๊าก “เจ๊” เข้าหลังบ้าน

โดน “ลูกหลง” ไปกับเขาด้วย รายของ “ค่ายธนาธร” พรรคก้าวไกล ภายใต้การนำของ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล หลังเข้ารับการผ่าตัดอาการปวดบริเวณคอ จนอดร่วมวงอภิปรายร่างพระราชกำหนด 3 ฉบับเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด เมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ในช่วง “เสี่ยทิม” ลาป่วยไปนั้น ก็มีกระแสข่าวว่า ส.ส.ก้าวไกล ในพื้นที่ กทม. ที่เหลืออยู่ 7 คน อาศัยจังหวะที่หัวหน้าพรรคไม่อยู่ ไปนัดรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวกับ “บิ๊กเพื่อไทย” ซึ่งคาดการณ์กันว่าน่าจะเป็น “เจ๊หน่อย – คุณหญิงสุดารัตน์” โดยมีอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย จากกลุ่ม "คนรุ่นใหม่" เป็น “ตัวกลาง” ในการติดต่อ

เห็นว่านัดหมายครั้งนี้ไม่ได้มีการแจ้งให้ “บิ๊กก้าวไกล” รับทราบ จนเกิดความหวดระแวงภายในพรรคขึ้น เพราะบอบช้ำมาสาหัสกับการถูกดูด ส.ส.ไปตั้งช่วงที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ จากการพูดคุยลับหลังแบบนี้ และเมื่อครั้ง 54 ส.ส.ที่เหลืออยู่ ตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันที่พรรคก้าวไกล ก็มีการให้สัตยาบันไว้ว่า จะต้องรายการความเคลื่อนไหวให้ผู้ใหญ่รับทราบเสมอ โดยเฉพาะการปฏิสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอื่น

ทำให้ “บิ๊กก้าวไกล” ที่ออกหน้าไม่ได้ฉุนขาด และได้เรียกกลุ่ม ส.ส.มาตักเตือน พร้อมทั้งยังแจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยว่า พรรคก้าวไกลไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

เห็นว่าเรื่องนี้ “บิ๊กเพื่อไทย” รวมทั้ง “คนแดนไกล” ก็ไม่พอใจต่อการกระทำของคนฝ่ายตัวเองด้วยเช่นกัน พร้อมมีรายงานไปถึงแดนไกลด้วยว่า “คุณหญิงหน่อย” นัดพบปะกับ ส.ส.ก้าวไกล มาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เป็นข่าว

แม้ว่า “บ่าวกาย” ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และรองโฆษกพรรคก้าวไกล จะปฏิเสธว่าไม่เคยมีการพูดคุยถึง หรือพบกับ “คุณหญิงสุดารัตน์” เป็นการส่วนตัวก็ตาม

เพราะหากเป็นไปตามที่คาดว่า มีการทาบทามให้ย้ายพรรค หรือร่วมงานกันในอนาคต ก็ไม่ต่างจาก “ตกปากในบ่อเพื่อน” ซึ่งเป็นการกระทำย้อนแย้งกับเมื่อครั้ง พรรคเพื่อไทย ตำหนิพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามหาเสียงจากฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าเป็นการปล่อยข่าวจาก “ขั้วตรงข้าม” ของ “หญิงหน่อย” ในพรรคเพื่อไทยเอง เพื่อให้สอดรับกับกระแสข่าวที่ว่า “เจ๊หน่อย” เตรียมแยกไปตั้ง “พรรคนครบาล” ของตัวเองเช่นกัน

สุดท้ายจะเป็นการปล่อยข่าวโจมตี “เจ๊หน่อย” หรือมีมูลไปถึงการตั้ง “พรรคเจ๊” ในอนาคต ต้องจับตา.



กำลังโหลดความคิดเห็น