เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาจนได้ และได้เวลาต้องยอมรับความจริงกันเสียทีว่า พรรคเพื่อไทยมีความแตกแยกภายในกันอย่างรุนแรง และถึงเวลาที่จะต้อง “แยกวง” หรือทางใครทางมันกันแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน บรรดาแกนนำพรรคทั้งหมดที่เหลืออยู่ได้ร่วมกันแถลงเพื่อยืนยันท่าทีในการยืนหยัดอยู่ร่วมกับพรรค รวมไปถึงการยืนยันถึงความร่วมมือกอดคอกันเพื่อนำพาพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และ “เป็นที่หวังของประชาชน”
ภาพที่ปรากฏออกมาที่ถือว่ามีน้อยครั้งจะได้เห็น ก็คือ มี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค นั่งคู่กับ คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค นอกจากนี้ ยังมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตหัวหน้าพรรค นายไพจิต ศรีวรขาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏแกนนำคนสำคัญในภาคอีสาน เช่น นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อยู่ร่วมในวงประชุมนี้ รวมไปถึงในการแถลงข่าว
ขณะเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นภาพหายากในช่วงเวลานี้ที่จะได้เห็น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ประชุมร่วมกันหรือมีการแถลงข่าวร่วมกัน ที่ผ่านมามีแต่ภาพของความขัดแย้ง แย่งชิงบทบาทการนำภายในพรรค แต่มาวันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปลักษณะการร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งสำหรับในทางการเมืองอาจเป็นแบบ “สงวนจุดต่าง แสวงจุดร่วม” ข้างหน้าเอาไว้ก่อนหรือเปล่า
สำหรับต้นสายปลายเหตุที่นำมาสู่การประชุม และแสดงความร่วมมือร่วมใจกันในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากปัญหาความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย ที่มาถึงจุด “แตกหัก” ที่ทำให้หลายคนต้อง “แยกวง” ออกไปตั้งพรรคใหม่
ที่น่าสนใจก็คือ บรรดาคนที่แตกออกไปนั้น ล้วนเป็นระดับ “ขาใหญ่” ภายในพรรคทั้งสิ้น ที่สำคัญก็คือ พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนเป็น “คนวงใน” ในครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคนี้มาก่อน
เพราะพิจารณาจากรายชื่อแล้ว ถือว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรค นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นต้น บางคนเรียกว่าไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” เลยทีเดียว โดยพวกเขาได้ตั้งกลุ่มการเมืองในชื่อ “กลุ่มแคร์” โดย นายภูมิธรรม บอกว่า จะมีการหารือ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในสัปดาห์หน้า
แม้ว่าหากพิจารณาจากเงื่อนไขทางรัฐธรรมนูญ และในทางยุทธศาสตร์การเมืองในแบบ “แตกแบงก์พัน” เป็นแบงก์ร้อย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับพรรค “ไทยรักษาชาติ” ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าเป็นการ “เล่นใหญ่” เกินตัว ทำให้พังพาบเสียก่อน
ขณะเดียวกัน ในความเป็นจริงก็มีความเป็นไปในแนวทางดังกล่าว เนื่องจากคนที่แยกตัวออกมานั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีบทบาทในพรรคเพื่อไทย หรือย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมด ล้วนเป็น ส.ส.ในแบบบัญชีรายชื่อ ไม่ใช่ ส.ส.ในระบบเขต ไม่มีฐานเสียงในพื้นที่ ดังนั้น การที่ออกมาตั้งพรรคใหม่ เพื่อแยกกัน “ดูดซับ” คะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เหมือนกับที่เคยวางแผนเอาไว้กับพรรคไทยรักษาชาติ ก่อนหน้านี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี การแยกตัวออกมาดังกล่าวกลับกลายเป็นว่า ออกมาแบบ “แตกหัก” หรือมีเสียงโวยวายด่าทอไล่หลัง ในทำนองว่า “ทำไมต้องเผาบ้านตัวเอง” ก่อนจากมาด้วย เนื่องจากในวงประชุมพรรคเพื่อไทยล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน ก็มีโทนเสียงเดือดดาลในแบบเดียวกัน
ทั้งนี้ คำพูดที่ทำให้ระดับแกนนำที่ยังอยู่ในพรรคเพื่อไทยเดือดดาลมาก ก็คือ คำพูดที่อ้างว่ามาจากบรรดาแกนนำ “กลุ่มแคร์” ที่ว่า ซึ่งก็คืออดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยนั่นแหละ บอกในทำนองว่า “พรรคเพื่อไทยไม่เป็นที่คาดหวังของประชาชนไปแล้ว” ไม่ได้สร้างโอกาสให้กับประชาชน อะไรประมาณนี้
แน่นอนว่า การแตกตัวออกไปของสมาชิกพรรคระดับ “ขาใหญ่” พวกนี้ย่อมต้องสะเทือนกับพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบทบาทของพรรคทั้งใน และนอกสภา ถดถอยลงไปมาก อีกทั้งมีแต่ข่าวคราวความแตกแยกระหว่างกลุ่มแกนนำภายในพรรคตลอดเวลา
แม้ว่าที่ผ่านมา จะถูกมองว่าสาเหตุหลักอาจเป็นเพราะ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ที่เคยชี้นำพรรคมาตลอดได้ “ปล่อยมือ” จนทำให้ “ท่อน้ำเลี้ยง” ไม่ไหลมานานหลายปีแล้ว ทำให้ ส.ส.และสมาชิกพรรคเกิดอาการเคว้งคว้าง อีกทั้งทุกคนก็ไม่ต่างจาก “ลูกน้อง” ด้วยกันทั้งนั้น เป็นแค่ “ดาวเคราะห์” ไม่มีพลังในตัวเอง จึงไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน เหมือนกับภาพที่เห็นชัดในเวลานี้ หลายคนก็แตกทัพออกไปอยู่กับพรรคอื่น เมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ที่ย้ายไปซบพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงมวลชนคนเสื้อแดงที่แตกสลายไปแล้ว
ดังนั้น หากพิจารณากันตามสภาพความเป็นจริงในเวลานี้ แม้ว่าจะมองเป็นการ “แตกแบงก์ย่อย” ออกมา เพื่อเอาตัวรอดในทางการเมือง รับมือการเลือกตั้งคราวต่อไป แต่ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมันทำให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยในเวลานี้ถือว่า “เละ” เป็นโจ๊กไปแล้ว !!