ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ไม่ทันได้พักหายใจหายคอ .... รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รบทัพจับศึกกับเจ้าวายร้าย “โควิด-19” ยังไม่สะเด็ดน้ำดี อุณหภูมิการเมืองก็เพิ่มองศาอย่างรวดเร็ว ทั้ง “คลื่นใต้น้ำ” ภายในพรรคพลังประชารัฐ กับความพยายามเปลี่ยนตัวผู้บริหารพรรค รวมถึงการปล่อยข่าวเรื่องการออกไปตั้ง “พรรคใหม่” ของ “ทีมสมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องร้อนๆ ระหว่าง “พรรคร่วมรัฐบาล” คือ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่เล่นเกมการเมืองเรื่อง “ข้อตกลงความเข้าใจและความคืบหน้าเพื่อหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership)” หรือ CPTPP เข้าใส่ “เฮียกวง“ ว่าเป็นผู้ผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่ง “ไม่เป็นความจริง”
แถม “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ยังโยนขี้เข้าใส่ “ลุงตู่” ให้เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของ “กระทรวงพาณิชย์” โดยตรง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า งานนี้มีอะไรในกอไผ่หรือไม่
ทำไปทำมาดูเหมือนว่า เป้าหมายของทั้ง “2 กลุ่ม” น่าจะอยู่ที่การเขี่ย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีมงาน” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มาพร้อมกับ “งบประมาณก้อนโต” อย่างมิอาจมองเป็นอื่นได้
เล่นเกมปล่อยข่าวทำลายทุกรูปแบบ
ยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่องสำหรับ “ศึกใน พปชร” ที่มีเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการเปลี่ยนเก้าอี้ “ผู้บริหารพรรค” และวางยาวไปถึงเก้าอี้ “รัฐมนตรี” ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนในอีกไม่ช้าด้วยการไล่บี้ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค พร้อมโยนชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ว่าจะมาเป็น “หัวหน้าพรรคคนใหม่”
ส่วน “แม่บ้านพรรค” ที่จะมาเป็นเลขาธิการคู่บารมี “ลุงป้อม” ก็โยนออกมาหลายชื่อ ตั้งแต่ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่หมายตาเก้าอี้ “ขุนคลัง” รมว.คลัง หรือ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะแกนนำกลุ่ม กทม.
ทราบกันดีว่า “อุตตม-สนธิรัตน์” ถูกขนานนามว่าเป็น “กลุ่มสี่กุมาร” ร่วมกับ สุวิทย์ เมษินทรีย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.ที่ยอม “เปลืองตัว” ออกมาก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ จนได้กลับมาเป็น “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ในครั้งนี้
ทว่า หลังการเลือกตั้ง “นักเลือกตั้ง” ในพรรคก็พยายามแซะเก้าอี้ “หัวหน้า-เลขาธิการ” ของ “อุตตม-สนธิรัตน์” มาโดยตลอด ไม่ต่างจาก “เสร็จศึกฆ่าขุนพล” เพื่อต้องการ “ลดเกรด” ให้ไม่มีแต้มต่อ ในโควตารัฐมนตรี ด้วยดีกรีหัวหน้า-เลขาธิการ ครั้นจะถูกจับไปนั่งกระทรวงเล็กก็กระไรอยู่
แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ในมุมมองของ “นายกฯ ตู่” เห็นว่า “สี่กุมาร” เสียสละ และมีความดีความชอบ ที่สุด “อุตตม” ได้ขึ้นชั้น รมว.คลัง ขณะที่ “สนธิรัตน์” ปาดเก้าอี้เกรดเอ รมว.พลังงาน ไปครอง แบบที่ “เพื่อนร่วมพรรค” หลายคนไม่สบอารมณ์ หากจำกันได้ช่วงนั้น “กลุ่ม-ก๊วน” ในพรรคก็ไล่ทิ่มแทง “สนธิรัตน์” กันแบบไม่ไว้หน้า
ส่วน “สุวิทย์” ก็แบเบอร์ไปนั่ง รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะที่ตั้งไข่กระทรวงป้ายแดงแห่งนี้มาแต่ต้น
พ่วงด้วยอีกตำแหน่ง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ถูกมองว่าเป็น “นินจา” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “กลุ่มสี่กุมาร” หลุดไปก็แต่น้องเล็ก “พี่กอบ-กอบศักดิ์” ที่ติดข้อจำกัดจำนวนเก้าอี้ในคณะรัฐมนตรีไม่พอ
จำนวน 4 เก้าอี้ใน ครม.ที่ “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” รวมทั้ง “สมคิด” เป็นเจ้าของอยู่นั้น กลายเป็นปมในใจ “นักเลือกตั้ง” ในพรรคมาตลอด และถูกมองว่าเป็น “เค้กก้อนโต” หากเขี่ย “สี่กุมาร” พ้นวงจรอำนาจไปได้ ก็จะมีตั้ง 4 เก้าอี้มาให้แบ่งกัน
ปลายปีกลายในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ก็เริ่มมีการเดินเกมกับกระแสข่าวเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคจาก “สนธิรัตน์” ไปเป็น “เสี่ยแฮ้งค์-อนุชา” แต่ก็ไม่สำเร็จอีกคำรบ
ก่อนเข้าประชุมวันนั้น “บิ๊กซัน-สุริยะ” ที่ถูกมองว่าเป็นลูกพี่ของ “เสี่ยแฮ้งค์” ก็เป็นคนประกาศเองว่า “ท่านประวิตรบอกเป็นประกาศิตมาแล้วให้ท่านสนธิรัตน์ เป็นเลขาฯ ต่อไป ซึ่งท่านอนุชาก็เห็นด้วย”
อย่างไรก็ดี “ประกาศิต” ของ “ลุงป้อม” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมานั้น ก็เข้าใจได้ว่าเป็น “ประกาศิต” ที่ส่งออกมาจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” นั้นที่ “ตัดจบ” ในครั้งนั้น
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคในคราวนั้น แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรคจาก 24 คน เป็น 34 คน โดยให้ชุดเดิมที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” ลาออก และให้ “ตัวจริง” ของทุกกลุ่มก๊วนเข้าไปเสียบแทน
คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ จึงคลาคล่ำไปด้วย “บิ๊กเนม” ที่เดิมเคยเลี่ยงที่จะเข้าไปมีชื่อในกรรมการบริหารพรรค เพราะหลายคนขยาดชะตากรรมที่เคยเป็นสมาชิก “บ้านเลขที่ 111-109” และถูก “ตัดสิทธิทางการเมือง” มาแล้ว
พลันที่ดุลอำนาจในคณะกรรมการบริหารพรรคเปลี่ยน บวกกับงวดเข้าฤดูกาลปรับ ครม. ที่เดิมคาดว่า “บิ๊กตู่” จะขยับขุนพล ภายหลังจากเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ดันเกิดวิกฤตโควิด-19 เสียก่อน
หากจำกันได้ก่อนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “กลุ่ม-ก๊วน” ในพรรคพลังประชารัฐ ก็เริ่มขยับมาหนึ่งแล้ว ด้วยแรงขับเคลื่อนของ “คนอกหัก” ที่ตกรถ “ประยุทธ์ 1” อยากเป็นรัฐมนตรีตัวซีดตัวสั่น เผอิญ “พี่โควิด” มาขโมยซีน ทำเอา “รมต.วอนนาบี” ต้อง “ออกตัวฟาล์ว” ไปรอบ
สถานการณ์โควิดเริ่มซา และมี “ความเชื่อ” ว่า “นายกฯ ตู่” เตรียมปรับ ครม.เพื่อรีเซตความเชื่อมั่นของรัฐบาล ก็เลยมี “คลื่นใต้น้ำ” ระลอกใหม่ ทีนี้เปิดหน้าออกมาหมด ทั้ง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ในฐานะประธาน ส.ส.พรรค, “เสี่ยแฮ้งค์-อนุชา” ในฐานะรองประธานยุทธศาสตร์พรรค, สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่เป็นเจ้าของตึกที่ทำการพรรคพลังประชารัฐแห่งใหม่ ร่วมด้วย “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล
งานนี้ “เล่นใหญ่” ถึงขนาดหย่อนชื่อ “ลุงป้อม” ว่าจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน พร้อมกดดันกรรมการบริหารพรรคก๊วนอื่นๆให้เซ็นใบลาออก เพียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่ง เข้าข้อบังคับให้ “หัวหน้าพรรค” พ้นตำแหน่ง และต้องประชุมเลือกกรรมการบริหารกันใหม่หมด
หนักไปกว่านั้นคือ กลายเป็นว่า “เดิมพัน” เหมือนจะสูงกว่าแค่เก้าอี้รัฐมนตรีเสียแล้ว เมื่อภายในพรรคพลังประชารัฐมีการพูดกันถึงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 กันอย่าง “ผิดสังเกต”
ด้วยวงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่แบ่งเป็น 2 กอง กองหนึ่ง “6 แสนล้านบาท” เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
และอีกกองหนึ่ง “4 แสนล้านบาท” กันไว้ใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังสถานการณ์คลี่คลาย ถูกมองเป็น “เค้กก้อนมหึมา” ทำเอา “เสือหิว-เสือโหย” ในคราบ “นักเลือกตั้ง” เก็บอาการกันไม่อยู่
แม้จะมีคำห้ามปรามจาก “นายกฯ ตู่” ว่า เวลานี้ไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวหรือพูดเรื่องการเมือง เพราะต้องแก้ไขปัญหาโควิด-19 แต่ก็ไม่มีใครฟัง
ด้วยรูปแบบการขอเงินจากก้อน “4 แสนล้านบาท” นั้น กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐเสนอโครงการเข้าไปขอเงิน เพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงการจ้างงาน และจะมีการคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่ออนุมัติโครงการอีกที
ตามโครงสร้างคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ที่มี ประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ส่วนกรรมการก็ล้วนแล้วแต่มาจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), อธิบดีกรมบัญชีกลาง, ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ, และผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นเลขาฯ
ด้วยความเคยชินอยู่กับ “รัฐบาลกินแบ่ง” มาก่อนทั้งนั้น ที่เวลามีเงินจากกองทุนต่างๆ หรือเงินกู้ที่มี “ฝ่ายการเมือง” เข้าไปเกี่ยวข้อง ก็มักตามมาด้วย “เปอร์เซ็นต์”
ก็เลยคิดว่า หากแทรกมาคุมกระทรวงการคลังได้ ก็เท่ากับมีหน้าตัก “4 แสนล้านบาท” ที่สามารถ “กดปุ่ม” ได้เอง
เพราะบอร์ดกลั่นกรองล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังแทบทั้งสิ้น
เป็นที่มาขอความต้องการขย่มให้ “อุตตม” และ “สมคิด” ที่กำกับดูแลเรื่องนี้ให้ หลุดออกจากคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องอยู่เป็น “ก้างขวางคอ” โดยเร็ว
คงพูดได้ไม่ผิดว่า งบประมาณจากเงินกู้ก้อนหลัง “4 แสนล้านบาท” เป็นตัวเร่งที่ทำให้ “เสือหิว” ในรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมกันอีกต่อไป
เลยเล่นกันแรงถึงขั้น “ปล่อยข่าว” เตะตัดขากันเองรายวัน แม้ “นายกฯตู่” จะสั่งเบรกแล้วก็ตาม ล่าสุดกับข่าวที่ “ทีมสมคิด” จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “สร้างไทย” ก็เป็นแค่ข่าวปั่นไร้ที่มาที่ไป
นัยว่าเพื่อให้ “บิ๊กตู่” เกิด “ความหวาดระแวง” ขึ้น พอปั่นไม่ขึ้น ก็ตลบไปอีกชั้นว่า “ทีมสมคิด” พยายาม “สร้างราคา” ให้กับตัวเอง
ขณะเดียวกันก็จ้อง “เจาะยาง” ทั้ง “สนธิรัตน์” เรื่องใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานต่อรอง ส.ส.ในพรรค หรือ “สุวิทย์” ที่อยู่เงียบๆ ก็เจอเปิดประเด็นฮั้วประมูลโครงการในกระทรวงการอุดมศึกษาฯ
แกะร่องรอย “ข่าวปล่อย” แล้วก็ไม่พ้น “คนในพรรค” ที่ต้องการดิสเครดิต “ทีมสมคิด-กลุ่มสี่กุมาร” โดยไม่สนใจภาพลักษณ์หรือความเป็นไปของ “รัฐบาลลุงตู่” แม้แต่น้อย
ปชป.เล่มเกมใหญ่ งัด CPTPP บี้ “สมคิด”
และใช่ว่าเฉพาะ “เสือหิว” ในพรรคพลังประชารัฐจะได้กลิ่น “เค้ก 4 แสนล้าน” เท่านั้น “เสือโหย” ในพรรคร่วมรัฐบาล ก็ได้กลิ่นเหมือนกัน ก็เลยมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ จาก “ประชาธิปัตย์”
ก่อนหน้านี้ “ค่ายสะตอ” ส่งขาประจำอย่าง “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญา “ร่างทรงอภิสิทธิ์” ออกมาโจมตีนโยบายรัฐบาล “ตีกิน” ในหลายเรื่อง
และเที่ยวนี้ก็อาศัยเรื่องสำคัญอย่างวาระการเสนอให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่ “เดดไลน์” งวดเข้ามา แต่ก็มีแรงต้านจากภาคประชาสังคมอย่างรุนแรงมาเป็น “อาวุธสำคัญ” ด้วยรู้ดีกว่าสามารถสร้างแนวร่วมได้ง่าย
เจ้าภาพเรื่องนี้อย่าง กระทรวงพาณิชย์ ในกำกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ก็เล่นง่าย “ลอยตัว” ตลอดว่า ไม่ใช่หน้าที่ในการเสนอขอมติที่ประชุม ครม.อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP หรือไม่
โยนกลองดื้อๆว่า เป็นเรื่องของ “บิ๊กตู่” ในฐานะนายกฯต้องพิจารณาเอง ทั้งที่ตามเนื้อผ้าเป็นหน้าที่ของ “จุรินทร์” ในฐานะ รมว.พาณิชย์ ทั้งที่รู้ว่า “ละเอียดอ่อน” ยังคิดตื้นๆ “โชว์หล่อ” ตามกระแสเอาตัวรอดไปวันๆ
ทว่า ก็ไม่แปลก เพราะมีเสียงเม้ากระหึ่ม “สนามบินน้ำ” ว่า เจ้ากระทรวงคนนี้ไม่ประสีประสา “งานต่างประเทศ” ไม่กระดิกเลย ก่อนหน้าที่จับเครื่องไปประเทศนั้นประเทศนี้ อวดโอ้ว่าขายของได้เป็นประวัติการณ์ ก็แค่ไป “เอาหน้า” จากผลงานที่ข้าราชการเจรจาไว้สำเร็จแล้วเท่านั้น
เม้าถึงขนาดว่า หัวหน้าพรรคคนก่อน “ดีแต่พูด” ยังพอมีจุดขาย แต่นี่ “พูดก็ไม่ได้ ทำก็ไม่ดี”
แล้วจู่ๆ ก็มีกระแสข่าวทำนองว่า “รองฯ สมคิด” เตรียมเสนอวาระ CPTPP เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เมื่ออังคารที่ผ่านมา
ประเด็นปัญหาอยู่ตรงที่ว่า การโหมประโคมข่าวเรื่องการนำ CPTPP เข้าสู่การประชุม ครม.คือ “เฟกนิวส์” เพราะมิได้มีวาระเรื่องนี้อยู่จริง ทั้งที่ “สมคิด” ลาประชุมไว้ล่วงหน้าแล้ว แถมยังบรรยายเป็นตุเป็นตะว่า ขณะนี้เอกสารเกี่ยวกับ CPTPP เพื่อประกอบการพิจารณาขนาดความหนา 19 หน้า ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แถมยังมีข่าวด้วยว่า เรื่อง CPTPP ที่โผล่ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและขยายความออกไปอย่างรวดเร็วนั้น น่าจะมี “ไส้ศึกจาก พปชร.” กลุ่มเดิมร่วมวงกระพือข่าวเล่นงาน “เฮียกวง” ด้วย
ส่วนจะเป็นการปล่อยข่าวดิสเครดิต “รองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” หรือไม่ “รัฐมนตรีจุรินทร์” ตอบแบบสวยๆ เหมือนเดิมว่า ก็ไม่สามารถบอกได้ ต้องไปถามคนปล่อยข่าว
งานนี้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ใครก็ใครกะ “ตีกิน” กับวาระ CPTPP และผลัก “สมคิด” ออกไปเผชิญหน้ากับภาคประชาสังคมที่คัดค้าน เพราะหมากนี้ได้ “สองเด้ง” ทั้งกระทุ้ง “สมคิด” ที่แย้ง “ค่ายสะตอ” มาหลายเรื่อง แล้วยังอาจได้ร่วมวง “เค้ก 4 แสนล้าน” กับเขาด้วย
และเรื่อง CPTPP น่าจะโผล่มาสร้างความปวดหัวอยู่เป็นระยะๆ เพราะก่อนที่จะถึงเดือนสิงหาคมนี้ หนีไม่พ้นที่จะต้องนำเรื่อง CPTPP เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถไปเจรจาความกับประเทศต่างๆ ได้
เรื่องนี้ดูว่า “ลุงตู่” คงกลัดกลุ้มไม่น้อย เพราะความจริง “ประชาธิปัตย์” ก็เล่นเกมตีรวนรัฐบาลมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในสภาและในรัฐบาล จนเกิดความวุ่นวายมาหลายรอบจนมีการเสนอด้วยซ้ำไปว่าให้ตัดทิ้งไปจากพรรคร่วมรัฐบาลเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ดูทรงแล้ว ดูเหมือน “ลุงตู่” น่าจะตัดใจทำงานในลักษณะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ไม่ได้ ประชาธิปัตย์จึงได้ใจ แม้กระทั่งการคืนเก้าอี้ “วิชัย โภชนกิจ” กลับไปนั่งอธิบดีกรมการค้าภายในหลังถูกตั้งกรรมการสอบกรณี “หน้ากากอนามัย” ขาดตลาด ก็ถูกมองว่าเล่นบท “ง้อ” เสียด้วยซ้ำไป
ส่วนศึกภายใน พปชร.ก็อิหรอบเดียวกัน เพราะว่ากันตามจริง ชั่วโมงนี้ เหลือบตาดูแล้วยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่า ใครจะมาเป็น “ทีมเศรษฐกิจ” แทน “ทีมสมคิด” เพราะรายชื่อ รมต.ใหม่ที่โผล่มาให้เห็นนั้น ดูทรงแล้ว ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
แต่ที่แน่ๆ คือ วันนี้ กลายเป็นว่าพอมี “เค้ก 4 แสนล้าน” มาเพิ่มเดิมพัน ก็ยิ่งทำให้ “เสือหิว - เสือโหย” ที่เพ่นพ่านอยู่เต็มรัฐบาลหัน “หอก ดาบ ธนู ปืน” เรียกว่าหยิบ “สารพัดอาวุธสังหาร” เข้าใส่ “ทีมสมคิด-ทีมสี่กุมาร” กันไปใหญ่
ที่น่าห่วงแทน “ลุงตู่” ก็เพราะ “คนกันเอง” เล่นกันแรง แบบไม่สนใจว่ารัฐบาลจะอยู่กันได้หรือไม่เสียด้วย.