ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“วิรัช รัตนเศรษฐ” มีหนาว! คดีสนามฟุตซอลฉาวตามหลอน ทิ้งถ่วงมา 8 ปี ได้เวลารู้ดำรู้แดงกันในเดือนนี้
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย “เมีย-น้องเมีย” 3 ส.ส.พปชร. ร่วม ขรก.- กลุ่มเอกชน รวม 24 ราย คดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอล พื้นที่การศึกษาเขต 2 โคราช มีความเคลื่อนไหวคืบหน้าล่าสุดออกมาว่า ภายในเร็ววันนี้คงได้รู้ดำรู้แดงกัน
ข่าววงในแจ้งว่า ป.ป.ช. ได้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมด ให้อัยการสูงสุด (อสส.) ครบถ้วนแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งจากเดิมนั้นมีการกำหนดไว้ว่าวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่าน มาคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการ และ ป.ป.ช. ได้นัดประชุมเพื่อสรุปเรื่อง แต่ก็ต้องเลื่อนไป เนื่องจากอัยการเจ้าของเรื่องย้าย มีคนใหม่มาแทน จึงต้องขอดูเรื่องก่อน แม้ยังไม่ได้กำหนดนัดกันใหม่ แต่ก็เชื่อกันว่า ภายในเดือนพ.ค.นี้ น่าจะจัดประชุมได้
“คดีสนามฟุตซอลฉาว” นี้ มีที่มาที่ไปยังไง ย้อนดูไทม์ไลน์กันสักนิด คือกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2555 โดยเป็นงบแปรญัตติ ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด รวม จ.นครราชสีมา ของ “วิรัช” ด้วย วงเงินประมาณ 4,459,420,000 บาท เพื่อจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ หรือ สนามฟุตซอล
จากนั้นไม่นานก็มีข่าว การจัดซื้อจัดจ้างมีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามรูปแบบรายการและวิธีการก่อสร้าง สนามกีฬาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
พูดง่ายๆ เกิด “ฉาวโฉ่” ขึ้นมา จนต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมี “ปรีชา เลิศกมลมาศ” กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งจากการไต่สวนข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน ปรากฏข้อเท็จจริงได้ว่า “วิรัช รัตนเศรษฐ-นางทัศนียา รัตนเศรษฐ” ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในขณะนั้น และ “นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ” นายกเทศมนตรีตำบลห้วยแถลงขณะนั้น (ปัจจุบันเป็น ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ) ซึ่งเป็นน้องสาวนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ได้สั่งการให้พวกของตนเข้าไปประสานกับผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 เพื่อจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลให้ โดยเข้าไปครอบงำบงการการใช้จ่ายงบประมาณในวงเงินดังกล่าว โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย อันเป็นการต้องห้ามตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 168 ซึ่งบัญญัติว่า “...ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือของคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้...”
เรียกว่า ตั้งแต่ปี 55 “วิรัช” งานเข้ามาหลายปี ทิ้งถ่วงมากว่า 8 ปี จนวันที่ 6 ส.ค. 62 ป.ป.ช.จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 เสียง ชี้มูลความผิด วิรัช รัตนเศรษฐ กับพวก
วันรุ่งขึ้น 7 ส.ค. 62 ทาง ป.ป.ช. ส่งสำนวนแรกที่มีมติเอกฉันท์ให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกานักการเมือง
พอมาถึง 18 ธ.ค. 62 ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเพิ่มส่ง อสส. อีก 6 สำนวน
กล่าวโดยสรุป ป.ป.ช. เห็นว่ากรณี “สนามฟุตซอลฉาว” มีความผิดฐานทุจริตจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษา จ.นครราชสีมา สังกัดสำนังานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม 7 สำนวน
ใน 7 สำนวนนี้ มี “วิรัช” เป็นผู้ถูกกล่าวหารวมครบทั้ง 7 สำนวน !
ต่อมาเดือน ม.ค. 63 อสส.เห็นว่า สำนวนแรกยังมีความไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่ายอัยการ และฝ่าย ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา
กระทั่งมาเดือนนี้ พ.ค. 63 ป.ป.ช.ได้รวบรวมหลักฐานเพิ่มจนสมบูรณ์ ส่งให้ อสส.เรียบร้อย และทั้งอัยการ และ ป.ป.ช. กำหนดนัดประชุมกันเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนดังกล่าว
ทางเลือกของคดีมีความเป็นไปได้ 2 ทาง หากที่ประชุมคณะทำงานร่วมของอัยการ และ ป.ป.ช.เห็นชอบร่วมกัน อัยการ ก็สั่งฟ้องคดีต่อศาลฎีกานักการเมือง หรือ ถ้า อสส.สั่งไม่ฟ้อง ตามกฎหมาย ป.ป.ช.สามารถยื่นฟ้องเองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่หาข้อยุติร่วมกันไม่ได้
เท่ากับว่า ไม่ว่าผลประชุมคณะทำงานร่วมอัยการ-ป.ป.ช. จะออกทางไหน จุดหมายปลายทางคดีสนามฟุตซอลฉาวนี้ ยังไงๆ ต้องเข้าไปสู่กระบวนศาล
“วิรัช” คงมีหนาวล่ะงานนี้ ... โปรดอย่ากะพริบตา.
**ลุงตู่น่าจะลองดู “สูตรใหม่” ปรับ ครม. สยบรอยร้าวแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ ที่น่าได้ผลชะงัด
การเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ชั่วโมงนี้ต้องบอกว่า ข้างฝ่ายอยากเป็นรัฐมนตรี อยากมีอำนาจคุมงบประมาณฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้าน ที่ล่อตาเกินห้ามใจให้เคลื่อนไหวปล่อยข่าวดิสเครดิต รมว.ของพรรคตัวเองระรัวจนฝ่ายค้านลูบปากไม่ต้องทำอะไรก็หยิบยืมมาขยายผลกันเลอะเทอะ ไม่แคร์ชาวบ้านที่ทุกข์ระทมจากพิษโควิด-19
ความเคลื่อนไหวของนักการเมืองกลุ่มนี้ “น่าสังเวชและน่าเศร้าใจ” แค่ไหนคงไม่ต้องพูดมาก เห็นได้จากผล “ซูเปอร์โพล์” ล่าสุดยังออกมาว่าประชาชนเหม็นเนานักการเมือง แบ่งขั้ว แบ่งข้างยื้อแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง อันจะส่งผลต่อ “กองหนุน” ลุงตู่ลดฮวบๆ ได้
นี่ขนาด “ลุงตู่” พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะตัดจบ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรค จะออกโรงมายืนยันให้สงบ ขอให้ช่วยกันทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 กันก่อน แต่กลายเป็นว่า กลับตั้งวอร์รูม ทำ “ไอโอ” ไม่เห็นหัวลุงทั้งสอง
แว่วว่า งานนึ้แกนนำที่กระสันอยากเป็นรัฐมนตรี ถึงกับควักทุนทำปฎิบัติการข่าวปูพรม เป้าหมายคือ “ด้อยค่า” ทีมสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ “สี่กุมาร” มันสมองทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงค์” รมว.พลังงาน โดนปล่อยข่าวหนักๆ ทุกวัน
เนื่องเพราะกลุ่มคนที่ต้องการเก้าอี้รัฐมนตรี รู้ว่า อุตตม และ สนธิรัตน์ จัดอยู่ใน “เซฟตี้โซน” หลังจากเข้าพบนายกฯลุงตู่ ยุทธการไอโอทุกวันก็หวังจะให้ทั้งคู่ “ถอดใจ” ลาออกกันไปเอง หรือให้นายกฯ หรือกระทุ้งลุงป้อมเปลี่ยนใจลงมาจัดการให้กลุ่มตัวเองสมหวัง
ว่ากันว่า จากเหตุไม่สงบในพรรค ตอนนี้สมาชิกพรรค พปชร. เริ่มพูดๆ กันแล้วว่า หากปัญหาไม่จบ ซึ่งโพลก็ออกมาเตือนชัดแล้วว่ากระทบภาพลักษณ์และคะแนนนิยมของรัฐบาล ทุกคนในพรรคต้องเอาใจช่วย “นายกฯ ลุงตู่” ให้แก้ปัญหาเก้าอี้ ครม.ให้ได้
ดังนั้น เพื่อสยบรอยร้าวก่อนที่จะบานปลายไปกันใหญ่ ควรเสนอทางออกที่เป็นกลางๆ ให้ “ลุงตู่และลุงป้อม” ได้มีทางเลือกในการแก้ปัญหาให้พรรคเดินต่ออย่างราบรื่น
พรรคเดินหน้าทำงานต่อ ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลลุงตู่ หากจะปรับ ครม. ก็ต้องมีเสียงชื่นชมมากกว่าเสียงยี้ที่มาจากการยื้อแย่งแทงข้างหลังกัน
นั่นคือ “สูตรปรับ ครม.” ที่ยืดหยุ่นให้โอกาสทุกฝ่ายได้แสดงศักยภาพในตำแหน่งที่คิดว่าตัวเองเหมาะสม หรือว่ากันไปถึงความท้าทาย ใครอยากเป็นรัฐมนตรีก็ให้เปิดหน้ากรอกใบสมัครมากันเลย
โดยปรับรัฐมนตรีที่ผลงานไม่เข้าตา หรือ รัฐมนตรีที่โลกลืมออก หรือ เอาโควตารัฐมนตรีในก๊วนที่กำลังเคลื่อนไหวเดิมออก แล้วให้หมุนคนในก๊วนตัวเองที่อยากเป็นขึ้นมาแทน ยกตัวอย่าง ตำแหน่งของ “ครูตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาฯ
ไหนๆ “ครูตั้น” ก็เป็นคนนำร่องเซ็นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เมื่อขยับลงจากเก้าอี้เพราะถือว่าได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว ก็เสียสละให้คนที่ยังไม่เคยเป็นและอยากเป็นมาแทนที่บ้าง ซึ่งช่วยลดความกดดันให้คนอื่นๆ ในก๊วนลงได้
ฟังว่า ข้อเสนอที่จะทำให้ก๊วนของคนอยากเป็นรัฐมนตรีพึงพอใจ ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่เดิมก็เคยเป็น คน พปชร. “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ก่อนจะมาเป็น “เทวัญ ลิปตพัลลภ” นั้นอีกตำแหน่งด้วย
ตำแหน่งนึ้มองข้ามไม่ได้ ถือว่าสำคัญไม่น้อย ต้องบอกว่าได้ทำงานใกล้ชิดลุงตู่ ซึ่งเป็นที่ต้องการของบรรดาก๊วนนี้อยู่แล้ว ถือว่า “วิน-วิน”
ครม.สูตรนี้ เชื่อกันภายในพรรคว่า จะทำให้ทุกมุ้ง ทุกม่าน ยอมอยู่กันสงบ ลงตัวเหมือนเดิม
หากลุงๆ จะหันมาพิจารณา “สูตร ครม.” ที่เริ่มพูดกันนี้ ก็ไม่แน่ว่า เรื่องที่ลุงๆ กำลังปวดหัว หงุดหงิด และกลุ้มใจกับปัญหารอยร้าวในพรรคอาจจะเจอทางโล่งโปร่งสบายได้ ทั้งยุติปัญหาพรรคและเผลอๆ ได้ใจมหาชนกู้หน้ากลับมาจากพฤติกรรมแก่งแย่งเก้าอี้ที่สังคมจับจ้อง
งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า “ลุงตู่” จะลองดูมั้ย ?