xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

NEW NORMAL หยุดเชื้อเพื่ออำนาจ ชำแหละเครือข่าย 6 สหายยึด พปชร.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เหนื่อยทั้งศึกนอก-ศึกในเลยทีเดียว

ก็ชั่วโมงนี้ “รัฐบาลลุงตู่” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังรบทัพจับศึกอยู่ในสงครามต่อสู้กับการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ยังอยู่ในช่วงชี้เป็นชี้ตายแท้ๆ ก็ดันเกิด “ศึกวัดพลัง” ในพรรคพลังประชารัฐ มาให้หัวเสียอีก

เป็นศึกในที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็น “คลื่นใต้น้ำ” จากกลุ่มเดิมๆ ที่เคยสร้างความรำคาญใจให้กับ “บิ๊กตู่” มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ที่ขนาดลงทุนแก้เคล็ดเปลี่ยนโลโก้พรรคจากทรงหกเหลี่ยม เป็นรูปวงกลม ไม่ให้กลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรคขบเหลี่ยม หรือทิ่มแทงกันเองแล้ว ก็ยังไม่วายเกิดเรื่องซ้ำซากอีก

หนนี้ยกระดับ “เล่นใหญ่” ถึงขั้นเข็นชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่เป็น “พี่เลิฟ” ของ “นายกฯ น้องตู่” ออกมาว่า ต้องการยึดพรรคกันเลยทีเดียว

โดยวางสตอรีว่า “ลุงป้อม” หมายปองเข้ามาเสียบเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มี “ขุนคลัง” อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่อยู่ และให้ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นเลขาธิการพรรคแทน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

ที่น่าปวดหัวก็คือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่าง “ไม่รู้จักกาลเทศะ” ไม่ได้ดูสถานการณ์บ้านเรื่องเลยว่า กำลังวุ่นวายกับการแก้ไขการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน กลับมามีเรื่องให้ “ลุงตู่” ชวนปวดหัวอีกจนได้


แต่ก็อย่างว่า คนกลุ่มนี้คงคิดว่าเป็นเรื่อง NEW NORMAL คิดว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” ในทางการเมืองที่จะต้องแย่งชิงเก้าอี้ทางการเมือง เรียกว่า คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขา “หยุดเชื้อเพื่อชาติ” กัน แต่นี่เล่นอาศัยสถานการณ์ชุลมุน “หยุดเชื้อ เพื่ออำนาจ” เสี่ยนี่


เรื่องของเรื่องมีการอ้างอิงจาก “เสียงลือ” เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดพิธีบวงสรวงตั้งศาลพระพรหม ณ ที่ทำการใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ ตรงข้ามศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ที่วันนั้น “ป๋าป้อม” ไปเป็นประธานในพิธีด้วยตัวเอง และมีแกนนำพรรคมาร่วมพิธีค่อนข้างพร้อมหน้าพร้อมตา


ตามข่าวระบุว่าผู้เข้าร่วมพิธีมีอาทิ “หัวหน้าอุตตม”, “เฮียสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค, “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, คู่หูสามมิตร สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม - สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม, “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

และที่ขาดไม่ได้ “เฮียสันติ” ที่เป็นเจ้าของตึกที่ทำการพรรคแห่งใหม่

พิธีบวงสรวงเปิดที่ทำการใหม่หนนี้ ไม่มีการตีปี๊บใหญ่โตให้สมราคา “แกนนำรัฐบาล” ก็เนื่องจากยังอยู่ในช่วงรณรงค์งดจัดกิจกรรมรวมตัวคนหมู่มาก Social Distancing ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

ทว่าหลังจบพิธีได้ 2-3 วัน กลับมี “บางคน” อยากตีปี๊บ “บางเรื่อง” ให้เป็นประเด็น เมื่อมี “ข่าว (จงใจ) หลุด” ออกมาบรรยายบรรยากาศงานวันนั้นละเอียดยิบโดยอ้าง “แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคพลังประชารัฐ” ว่า หลังพิธีตั้งศาลพระพรหม “ป๋าป้อม” ล็อกคอ “อุตตม” มาบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อ “ล้างไพ่” แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค และตัวเองจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเอง

ไม่เท่านั้นยังพูดไปถึงว่า “อุตตม” ได้ตกปากรับคำกับ “ลุงป้อม” แล้วด้วยซ้ำ หากแต่หลังพิธีเกิด “ผิดคิว” ก็เลยกระพือข่าวซ้ำว่า มีการล็อบบี้ให้กรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่ง จากทั้งหมดที่มีตอนนี้ 34 คน เพื่อใช้ข้อบังคับพรรค ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอจัดประชุมใหญ่พรรคในเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่วางไทม์ไลน์ไว้เสร็จสรรพว่า เป็นช่วงประมาณกลางเดือน มิ.ย.เป็นต้นไป

และไม่ใช่แค่ “ล้างไพ่” กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ยังกะ “กินสองเด้ง” กระทบไปถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกด้วย โดยมีการวางตัว “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็น รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท รองประธานยุทธศาสตร์พรรค เป็น รมว.ศึกษาธิการ, โยก “เสี่ยตั้น” ณัฐฏพล ทีปสุวรรณ จาก รมว.ศึกษาธิการ ไปเป็น รมว.พลังงาน, สันติ พร้อมพัฒน์ จาก รมช.คลัง ขึ้นเป็น รมว.คลัง และให้ “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากโฆษกรัฐบาล มาเป็น รมช.คลัง เป็นต้น

เห็นชื่อแล้วก็กรี๊ดสลบ เพราะดูๆ ไปก็ไม่รู้ว่า จะมีดีกว่า “คนเก่า” ที่ตรงไหน แถมบางคนยังมีพฤติกรรม “ประจบหลังบ้าน คิดการใหญ่” อย่างคงเส้นคงวา แถมที่ผ่านมานั่งเก้าอี้กระทรวงสำคัญแต่ก็ไม่ได้เห็นมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่สามารถจับต้องได้

ทิศทางข่าวการเปลี่ยนแปลงระดับบริหารพรรคพลังประชารัฐ และการปรับ ครม.ที่ออกมานั้นอ่านไม่ยากว่า พุ่งเป้าไปที่ กลุ่มสี่กุมาร” อันประกอบด้วย อุตตม สาวนายน- สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ - สุวิทย์ เมษินทรีย์ รวมไปถึง กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตโฆษกพรรค ที่ตอนนี้เฟดตัวออกไปดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง หรือเป็นเลขานุการ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นั่นเอง

จำกันได้ “กลุ่มสี่กุมาร” ก็คือรัฐมนตรีใน “รัฐบาล คสช.” ที่เป็นคน “ออกหน้า” มาตั้งพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้นนั่นเอง นอกเหนือการปลดตำแหน่งหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ของ “อุตตม-สนธิรัตน์” แล้ว ยังริบเก้าอี้รัฐมนตรีของ “อุตตม - สนธิรัตน์ -สุวิทย์” ไปทั้งหมดอีกด้วย

เหมือนสำนวน “เสร็จนาฆ่าโคถึก” อย่างไรอย่างนั้น

ยังไม่จบเท่านั้นให้หลัง “ข่าวปล่อย” วันเดียว ก็มี “ไลน์ (ตั้งใจ) หลุด” ออกมาเร่งอุณหภูมิความร้อนแรงของข่าวเพิ่มขึ้นอีก

เป็นไลน์กลุ่มที่ระบุชื่อ “กลุ่ม 20 ส.ส.” ซึ่งมีการเปิดเผยภายหลังว่าเป็นกลุ่มไลน์ของ ส.ส.ภาคกลาง พรรคพลังประชารัฐ ที่มี “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” เป็นประธานภาค ซึ่งเนื้อหาที่หลุดออกมานั้นเป็นการตำหนิผู้บริหารพรรคเกี่ยวกับการสนับสนุน “ปัจจัย” ในการให้ ส.ส.ลงพื้นที่บรรเทาผลกระทบของประชาชนจากปัญหาไวรัสโควิด-19

โดยหยิบเอาช่วงที่ “รมต.เฮ้ง” ที่อวยกันเองในกลุ่มเปิดหน้าซัด “หัวหน้าพรรค-เลขาธิการพรรค” ว่า ไม่มีการขยับเขยื้อนอะไร และตัวเองจะหาวิธีช่วยเหลือเพื่อน ส.ส. ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งมี ส.ส.คอยรับส่งลูกย้ำว่า หัวหน้าและเลขาฯไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน

“ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะหน้าที่ที่ต้องทำยังไม่รู้เลย...เราภาคกลางต้องจดจำวันนี้ไว้ หมดโควิดเมื่อใด เปิดประชุมพรรคเมื่อใด อย่ามาว่าภาคกลางแล้วกัน” เป็นถ้อยคำแรงๆ ที่ “เสี่ยเฮ้ง” ฝากไว้ในไลน์ดังกล่าว

และตัว “เสี่ยเฮ้ง” เองก็ยอมรับแบบแมนๆว่า ได้ตำหนิทางพรรคจริง แต่ก็บอกว่าช่วงโควิด-19 ไม่ควรเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่ถูกพูดถึงในท้องเรื่องต่างก็ปฏิเสธว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรในพรรคอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง “บิ๊กป้อม” ที่บอกเพียงว่า “ไม่มีอะไร ยังไม่ได้คุยอะไรกัน ยังต้องประชุมอีก” ก่อนที่วันถัดมาจะย้ำหลายรอบว่า “จบแล้วๆ”

หรือ “อุตตม” ที่บอกว่า “ไม่มีใครโทรหา แต่กรรมการบริหารพรรคบางท่านได้บอกว่ามีคนติดต่อมาขอให้ลาออก ส่วนผมเรียนตามตรง ก็มีการพูดจา หลักการผมพร้อมคุยทุกเรื่อง แต่วันนี้ ผมคิดว่า งานมาก่อน ไม่ใช่เวลาปรับเปลี่ยนเชิงการเมือง”

ขณะที่ “นายกฯตู่” ก็ได้เปรยในระหว่างการประชุมที่มี ทั้ง “ป๋าป้อม” และ “เฮียกวง” เข้าร่วมว่า “ไม่มีการปรับ ครม.ใดๆ ทั้งสิ้น ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ไม่ต้องต่อรอง ไม่ต้องเจรจา ผมเป็นนายกฯ ผมทำคนเดียว”

สะท้อนว่า “ไม่แฮปปี้” ที่มีกระแสข่าวความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐในช่วงนี้ที่รัฐบาลกำลังต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ที่สำคัญยังพัวพันมาถึงการปรับ ครม.อันเป็นสิทธิ์ขาดของนายกฯอีกต่างหาก

พอสิ้นเสียง “นายกฯตู่” ก็ไม่ต่างจากสัญญาณให้ทุกคน “แยกย้าย” นั่นเอง เป็นที่มาของบัญชา “ลุงป้อม” ที่สั่งการให้ทุกกลุ่มในพรรคพลังประชารัฐยุติการให้ข่าวที่เกี่ยวกับประเด็นร้อนทันที

ต้องยอมรับตามประสาพรรคใหญ่มี ส.ส.เกินกว่าร้อยชีวิตย่อมมีปัญหาเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หัวหน้า-เลขาธิการ” ที่ไม่ได้มีพื้นเพทางการเมือง ก็เลยตกเป็น “เป้านิ่ง” ให้โจมตีตลอด


อย่างไรก็ดี ที่กระแสข่าวความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐมาไกลถึงขนาดนี้นั้น ก็มี “ขบวนการสมคบคิด” ปั่นกระแสให้อึกทึกกว่าที่ควรจะเป็น

เป็นเพราะเกิดอาการ “อัดอั้น” จนเก็บไม่อยู่ เมื่อถูก “เจ้าโควิด” มาเป็น “คิวแทรก” ส่งผลให้การปรับ ครม.ที่ควรจะมีตั้งแต่หลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องล่าออกไป

“ขบวนการปั่น” ให้เกิดเรื่อง จนสปอตไลท์ส่องไปถึง ก็ถูกสื่อหลายสำนักเปิดโปงไปแล้วว่า เป็นความร่วมมือกันของ “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ กับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น

ร่วมด้วย “บิ๊กอ้น” พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แต่ก็ถือว่า “เสียงดัง” ในพรรคพลังประชารัฐ มีบทบาทตั้งแต่ก่อตั้ง และมีบทบาทสำคัญเป็น “ข้อต่อ” จาก “ต้นน้ำ” ในช่วงเลือกตั้งปีก่อน จน ส.ส.เกรงใจกันทั้งพรรคด้วย

มองไม่ผิดว่า การเคลื่อนไหวหนนี้ “เด้งแรก” เป็นความพยายามในการยึดพรรค จาก “กลุ่มสี่กุมาร” ผู้ออกหน้าก่อตั้งพรรค

แต่ฟันธงได้เลยว่า หาใช่ความปรารถนาของ “บิ๊กป้อม” ที่ต้องการยึดพรรค หากแต่มี “บ่างช่างยุ” ที่ไปคอยปั้นเรื่องว่าเกิดความวุ่นวายในพรรค ต้องอาศัยบารมีของ “พี่ใหญ่” มาสยบเท่านั้น

เพราะรู้กันดีถึงสถานะของ “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ว่าอยู่ในจุดไหนก็เป็น “ตำบลกระสุนตก” ของทั้งฝ่ายตรงข้ามหรือของสื่อเอง การจะให้ออกมายืนกลางแจ้ง ย่อมไม่ความปรารถนาของ “บิ๊กป้อม” อย่างแน่นอน

ที่สำคัญรู้กันอยู่แล้วว่า พรรคนี้ใครเป็นเจ้าของ?

และระดับ “บิ๊กป้อม” มีหรือต้องไปออกปากเอง หากต้องการเป็นหัวหน้าพรรคจริง ก็ไม่จำเป็นต้องไปวางแผนให้ซ้ำซ้อนยุ่งยาก แค่ “กระแอมเบาๆ” ก็แทบจะมีราชรถไปเกยแล้ว

ขณะที่ “เด้งสอง” ก็เพื่อเขย่าให้มีการปรับ ครม. และยึดเก้าอี้รัฐมนตรีมาเป็นของกลุ่มตัวเอง ตามสูตรสำเร็จทางการเมือง แต่ก็ต้องมาพิเคราะห์อีกว่าใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดหากเป็นไปตามแผน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก “กลุ่มสี่กุมาร” หลุดจากตำแหน่งใหญ่ในพรรค ก็เท่ากับทำให้โอกาสหลุดจาก ครม.ง่ายขึ้น โดยวันนี้เป็น “ว่าการ” อยู่ถึง 3 กระทรวง ถ้าหลุดออกไปหมดทั้ง “อุตตม – สนธิรัตน์-สุวิทย์” ก็มีเค้กให้แบ่งกันมากขึ้น

แน่นอน “เสี่ยเฮ้ง” ที่มีชื่อคั่วได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่หนก่อน ย่อมได้ประโยชน์ไปเต็มๆ แต่ถามว่า “เสี่ยเฮ้ง” ต้องกระเสือกกระสนเปลืองตัวขนาดนั้นหรือไม่ เพราะทราบกันดีว่ามีชื่อเป็น “สำรอง 1” ได้เสียบเข้าร่วม ครม.แน่หากมีการขยับ

แล้วถ้ากลัวโควตาจะเต็มเหมือนคราวก่อน ก็เบาใจได้เมื่อเป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า “ทูตดอน” ดอน ปรมัติวินัย รมว.ต่างประเทศ ที่ควงกะมาตั้งแต่ “รัฐบาล คสช.” ขอถอนก้นจากเก้าอี้เสนาบดีด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่ติดวิกฤตโควิด-19 ขึ้นมาซะก่อน

ที่สำคัญ ปัจจุบัน “เสี่ยเฮ้ง” ก็ถือเป็น “สายตรงลุงป้อม” เข้านอกออกใน “บ้านป่าใหญ่” ได้อยู่แล้ว เรียกว่า “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

เช่นเดียวกับอีกคนที่ถูกดึงมาเพิ่มน้ำหนัก “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร ที่ว่ากันว่าเป็น “สำรอง 2” ก็ได้โอกาสทำงานใกล้ชิดกับ “ลุงป้อม” ในคณะยุทธศาสตร์พรรค อีกทั้งยังมีเสียง ส.ส.ในกลุ่มสามมิตรเป็นทุน โอกาสไม่เกินเอื้อมกับการขึ้นชั้นรัฐมนตรีสมัยแรกอย่างแน่นอน

อาจพูดได้ว่า “เสี่ยเฮ้ง – เสี่ยแฮ้งค์” ถูกยืมชื่อมาใช้เท่านั้น โดยมี “ผู้กำกับทบ” อีกที

ตามท้องเรื่องก็ต้องหมายตาไปที่ “วิรัช” ที่ว่ากันว่าเป็นกุนซือทางการเมืองของ “เสี่ยเฮ้ง” แม้ว่าวันนี้ “ลูกวิรัช” อย่าง “เสี่ยแบงค์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ จะเข้าป้ายเป็น รมช.คมนาคม อยู่แล้ว แต่ลึกๆ แล้ว “ป๋าวิรัช” ก็คิดว่า ควรจะได้มากกว่านี้ตามจำนวนที่นั่ง ส.ส.ที่ตัวเองถืออยู่ ทั้งส่วนของภาคอีสาน และในส่วนของที่ “เสี่ยเฮ้ง” ดูแล

ต้องไม่ลืมด้วยว่า “วิรัช” มีชนักปักหลังร่วมกับ “เมีย-น้องเมีย” อยู่ในชั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสียด้วย โอกาสจะอยู่หรือไป ก็ยึดโยงสัมพันธ์กับ “ความสำคัญ” ในรัฐบาลไม่น้อย

อีกรายที่หากเป็นตามแผน จะรับไปเต็มเปา ก็รายของ “เฮียสันติ” เจ้าของตึกที่ทำการพรรคใหม่ ที่จะได้อัพเกรดกลับไปเป็น “ว่าการ” หลังจากยอมละศักดิ์ศรี “อดีตเจ้ากระทรวงเกรดเอ” มากินเก้าอี้ “ช่วยว่าการ” อย่างที่เป็นอยู่ ไม่เท่านั้นยังได้ขึ้นชั้นเป็น “แม่บ้านพรรค” อีกต่างหาก

มองตามนี้ก็อ่านไม่ยากว่า ใครเป็นคนเดินเกมอยู่เบื้องหลัง?

ถึงแม้วันนี้จะโดน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” เบรกหัวทิ่ม แต่บอกเลย สงครามยังไม่จบ แค่พักรบชั่วคราว อย่างที่บอกว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดปัญหาทำนองนี้ในพรรคพลังประชารัฐ เพราะตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 เป็นต้นมา ก็มีกระแสข่าว “แย่งเก้าอี้” กันมาโดยตลอด

ก่อนจะมาลงตัวเป็น “ครม.ประยุทธ์ 1” ชุดนี้ก็ตบตีกันจนบางคนในพรรคมองหน้ากันไม่ติดมาแล้ว

ล่าสุดเมื่อปลายปีกลาย ก่อนมีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.62 เกิดกระแสข่าว “หนาหู” ว่ามีความพยายามเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค จาก “สนธิรัตน์” ไปเป็น “เสี่ยแฮ้งค์-อนุชา” ส.ส.ชัยนาท แกนนำกลุ่มสามมิตร ขึ้นมาทำหน้าที่แทน

โดยครั้งนั้นก็เป็น “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ที่เป็นคนเคาะนาทีสุดท้ายให้ “เฮียสน” ทำหน้าที่ต่อ

เปิดศักราชปีใหม่ไม่นานก็เกิดรายการ “โชว์พาวเวอร์” ช่วงมีกลิ่นว่า จะปรับ ครม. โดยเริ่มจาก “ก๊วนสามมิตร” ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” ผนึกกำลังกับ “ค่ายจอมยุทธ์” ที่นำโดย “เฮียกวง- สมคิด” และ “หัวหน้าอุตตม” นัดกันรับประทานอาหารจีนที่โรงแรมสุโกศล ย่านพญาไท โดยระดมกำลัง ส.ส.ร่วมเฟรม เกือบ 50 ชีวิต เพื่อให้กำลังใจ “บิ๊กตู่” สู้ศึกซักฟอกที่กำลังจะมีขึ้น


ไม่นานจากนั้น “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ก็ควง “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” แก้เกมทันควัน โดยการเชิญ ส.ส.ทุกคนในพรรคไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ “ที่ทำการพรรคใหม่” และสามารถ “บลัฟ” ได้ด้วยจำนวน ส.ส.ร่วมร้อยชีวิต

บลัฟกันไม่ว่า ดันมี “อาฟเตอร์ช็อก” ต่อเนื่อง เมื่อมีรายงานว่า เกิดการ “ประสานงา” เข้าอย่างจังที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯของ “ป๋าป้อม” เมื่อแกนนำพรรค 2 กลุ่ม ไปเข้าคิวรอพบ “นายป้อม” เพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรค

กลุ่มหนึ่งนำโดย “เฮียยักษ์ - วิรัช” ที่หนีบเอา “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เลขาฯวิปรัฐบาล ไปชี้แจง “ข่าวลือ” เกี่ยวกับงบประมาณจัดโต๊ะจีนเลี้ยง ส.ส.ที่ออกจาก “บ้านป่าใหญ่” แต่ถูกเอาไปเคลมว่าเป็นของ “แคนดิเดทว่าที่รัฐมนตรีลำดับที่ 1”

ขณะที่อีกกลุ่มเป็น “ก๊วนผู้กอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ขอเสนอให้ปลด “เฮียยักษ์ - วิรัช” ออกจากตำแหน่ง “ประธานวิปรัฐบาล” เนื่องจากทำหน้าที่ผิดพลาดบกพร่อง จนฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำเกมในสภาฯหลายครั้ง

วันนั้นก็เป็น “ลุงป้อม” ที่ทุบโต๊ะสั่งให้ทุกกลุ่มหย่าศึกระหว่างกัน แต่ก็ยัง “รอยร้าว” ก็ยังปรากฏอยู่ในพรรค

เช่นเดียวกับปัญหาความไม่เข้าใจกันของ ส.ส.กับผู้บริหารพรรค โดยเฉพาะ “หัวหน้าอุตตม” และ “เลขาฯ สนธิรัตน์” ที่ไม่ได้มีพื้นเพมาจากนักการเมือง จึงมักถูกโวยว่าไม่เข้าใจ “ธรรมชาติการเมือง” ที่จำเป็นต้องมี “ปัจจัย” ในการลงพื้นที่สร้างคะแนนนิยมของพรรค

ซึ่งละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ส.ส.เพียงแค่ต้องการ “น้ำเลี้ยง” เพิ่มเติมจาก “ของตาย” ที่ได้รับตรงจากศูนย์กลางของพรรคที่ตั้งอยู่ที่ “บ้านป่าใหญ่” เท่านั้น

ทำให้เรื่องของ “อุตตม-สนธิรัตน์” หรือ “กลุ่มสี่กุมาร” ก็พร้อมที่ถูกงัดขึ้นมาหากิน ในยามที่เกิดความไม่พอใจในพรรคพลังประชารัฐอยู่ตลอดเวลา อย่างครั้งนี้ก็ยกเอาเรื่องหน้ากากอนามัย หรือเจลแอลกอฮอล์ มาเป็นประเด็น

ที่น่ากลัวคือ “นักการเมือง” พร้อมจะ “ใส่ไข่” ให้เรื่องราวหวือหวา เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เปิดช่องให้เข้าไปหาประโยชน์ อย่างหนนี้ที่ “เล่นใหญ่” ดันหลัง “ลุงป้อม” ออกมาชนด้วยตัวเอง ขย่มทั้งพรรค ขย่มทั้ง ครม.

แล้วยังมีสตอรีให้เร้าใจเพิ่มด้วยว่า “ลุงป้อม” สนใจจะโยกจากรองนายกฯที่ค่อนข้างไร้บทบาทไปเป็น รมว.มหาดไทย ที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รองบูรพาพยัคฆ์ นั่งอยู่อีก

ก็เพื่อต้องการให้เกิดภาพความขัดแย้งระหว่าง “พี่ป้อม-น้องป๊อก”
ไม่เท่านั้น ยังมีข่าวปล่อยสะพัดไปหลายตลาดเรื่องเปลี่ยนตัว “นายกฯ ตู่” ในทำนองให้เกิดความหวาดระแวงกันเองของ “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” ดีไม่ดีมี “บ่าง” ไปยุให้ “ลุงป้อม” เคลิ้มตามเหมือนจะชูให้เป็นหัวหน้าพรรคอีก ก็ยุ่งตายชัก

น่าสนใจว่า “ตัวเสี้ยม” ก็มีปูมหลังมาจาก “ขั้วอำนาจเก่า” ที่อยู่ในระดับไว้วางใจของ “นายใหญ่แดนไกล” เสียด้วย

ดีที่สายสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” แน่นปึ้ก คงไม่หลงเหลี่ยม “ลิ่วล้อคนแดนไกล” ง่ายๆ.


กำลังโหลดความคิดเห็น