ป้อมพระสุเมรุ
ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ไม่เว้น
ในขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทุ่มสรรพกำลังโรมรันพันตูกับ “สงครามโควิด” จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ต่างชาติชื่นชมความเข้มแข็งของประเทศไทยไม่ขาดปาก แต่หันมาในประเทศ “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น” ก็พยายามหาช่องโจมตี หวังถึง “ล้มรัฐบาล” อยู่ตลอด
ตั้งแต่ยังไม่เข้าช่วงวิกฤตที่ “รัฐบาลลุงตู่” มองการณ์ไกลว่า ต้องมีการแจกเงินประชาชนหัวละ 2,000 บาท ทางหนึ่งก็เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส อีกทางหนึ่งก็เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ
ก็เป็น “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น” เองที่ตั้งป้อมถล่มสารพัดว่าเป็น “เศรษฐกิจสิ้นคิด” คิดอะไรไม่ออกก็เอาแต่แจกเงิน โดยมี “สื่อหัวแดง” ร่วมถล่มเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลันที่ฝ่ายรัฐสั่งเบรกเอง ก็ประกาศเป็นชัยชนะว่าหยุดยั้งไม่ให้ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”** ได้
หารู้ไม่ว่าคราวนั้นฝ่ายรัฐดึงเรื่องกลับ เพื่อทบทวนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ถีบตัวขึ้นเป็น “วิกฤต” นำมาซึ่งมาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” แจกเงิน 5,000 บาทให้แก่ผู้ประกอบอาชีพที่อยู่นอกประกันสังคมเป็นเวลา 3 เดือน
ถือเป็นมาตรการความรับผิดชอบที่ “ต้องทำ” ของทั้งรัฐบาลไทย และนานาประเทศ ทำให้ “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น” สงบปากสงบคำไปได้พักใหญ่ ด้วยอาจรู้ตัวว่าเคยทำตัวเป็น “ไอ้เข้” ขวางไม่ให้รัฐบาลแจกเงิน
มาได้ทีเมื่อมาตรการเราไม่ทิ้งกัน “ขัดข้องทางเทคนิค” ส่งผลให้ประชาชน “บางส่วน” เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ เป็นประเด็นให้ฝ่ายค้านออกมาโจมตีอีกครั้งว่า รัฐบาลทอดทิ้งประชาชนไว้ข้างหลัง เช็คหน้าตาแล้วคนที่ออกมาโวยวาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “เจ้าเก่า” ที่เคยโวยวายตอนที่รัฐบาลจะแจกเงินนั่นแหละ
ขนาดพรรคการเมืองแนวทางใหม่ ไม่นิยมน้ำเน่า อย่าง “พรรคก้าวไกล” หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ ก็เปิดตัวเว็บไซต์ “ทำไมไม่ได้5พัน.com” อ้างว่าต้องการช่วยคนไม่ได้เงิน 5,000 บาท ทั้งที่เว็บไซต์หลัก “เราไม่ทิ้งกัน .com” ก็ปรับระบบให้มีช่องทางในการแก้ไขข้อมูลหรืออุทธรณ์อยู่แล้ว
มองไม่ผิดว่าเป็นขบวนการ “ตีกิน” ทางการเมือง หวังดีประสงค์ร้าย แทนที่จะสนับสนุนทำความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าถึงความช่วยเหลือโดยตรงผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง ดันให้ประชาชนต้องมาเสียเวลากับ “ทำไมไม่ได้ 5พัน.com” ที่กรอกข้อมูลเท่าไรก็ไม่ทำให้ได้รับเงินเยียวยาแต่อย่างใด
เพียงแค่ต้องการเอาข้อมูลที่ “คนตกสำรวจ” มากรอกให้ ไปปั่นกระแสโจมตีรัฐบาลเท่านั้น
เช่นเดียวกับกรณีที่ “นายกฯ ตู่” ประกาศจะส่งจดหมายเปิดผนึกเชิญมหาเศรษฐกิจ 20 ราย มาร่วมด้วยช่วยกันฝ่าวิกฤตโควิด-19 ที่ไม่ทันข้ามคืนก็เจอ “ไอโอ” ฝั่งตรงข้ามรุมกันถล่ม ปั่นแฮชแท็ก “รัฐบาลขอทาน” กันสนุกปาก
ที่สุดก็เป็น “ไอโอฝ่ายแค้น” ต้องหน้าแหก เมื่อกางจดหมายที่ “นายกฯ ตู่” ทำถึง “บิลเลียนแนร์-มิลเลียนแนร์” ของประเทศไทย พบว่า ว่าไม่มีการขอรับ “เงินบริจาค” แต่อย่างใด แค่ขอให้มาร่วม “ทีมไทยแลนด์” ฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน และขอความร่วมมือไม่เลิกจ้างงานภายในองค์กรที่เหล่ามหาเศรษฐีเป็นเจ้าของกิจการเท่านั้น
ขณะที่ประเด็นมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ก็ยังเป็นเป้าถล่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่มีประชาชนไปเรียกร้องสิทธิรับเงินเยียวยาจากรัฐบาล ถึงหน้ากระทรวงการคลัง ที่จับสังเกตอาการของขั้วตรงข้ามรัฐบาล ดูเหมือนจะ “เห็นดีเห็นงาม” ด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งที่ความเป็นจริง “ฝ่ายค้าน” น่าจะเข้าใจอุปสรรคของการเปิดรับลงทะเบียนที่มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 20 ล้านคน และผ่านเกณฑ์มากกว่า 10 ล้านคน ที่ย่อมมี “ตกหล่น” เป็นธรรมดา
แต่กลับคอยตีปี๊บ คล้ายหวังให้เกิด “พฤติกรรมเลียนแบบ” ให้ประชาชนบุกไปถึงหน่วยงานรับผิดชอบ
ที่สำคัญยังเป็นช่วงที่ไม่ควรสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมรวมตัวกันของผู้คน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เช่นเดียวกับกิจกรรมแจกอาหารเครื่องดื่มของบางพรรคการเมือง ที่ไม่มีมาตรการรักษาระยะห่าง Social Distancing อย่างที่ควรจะเป็น
จงใจให้เกิดภาพประชาชนเบียดเสียดออกมา เพื่อหวังฟ้องว่า ชาวบ้านกำลังลำบากอย่างหนักเท่านั้น ทั้งกรณีการบุกไปที่หน้ากระทรวงการคลัง หรือการเข้าคิวรับของแจกอย่างไม่เป็นระเบียบ
ประหนึ่งเป็นการ “ก่อหวอด” กลุ่มไม่พอใจรัฐบาลไปในตัว
ทั้งที่ในทางกลับกันก็ต้องยอมรับว่า “ส่วนใหญ่” พอใจมาตรการต่างๆของรัฐบาล โดยเฉพาะ “ดัชนีชี้วัด” จากอัตราผู้ติดเชื้อที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ติดอยู่ในระดับทอปของโลกด้วย
เรียกว่า “รัฐบาลลุงตู่” โกยแต้มความนิยมในช่วงนี้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ที่หมุดหมายสูงสุดก็คือการโค่นล้มรัฐบาล พลิกขั้วอำนาจให้ได้นั่นเอง
นำมาซึ่งความพยายามดึงดันของฝ่ายค้านที่จะขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญให้ได้ ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่ถึงเดือน ก็จะมีการเปิดประชุมสมัยสามัญอยู่แล้ว อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มคน ที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะอีกคำรบก็เป็นได้
เพราะรู้ว่าช่วงปิดสภา พื้นที่ข่าวถูกเบียดบังไปด้วยมาตรการและการอัพเดทสภานการณ์ของรัฐบาล ไปจนเกือบหมด ความพยายามปลุกกระแสให้ผู้คนไม่พอใจรัฐบาลก็เป็นไปได้ยาก จึงต้องการเปิดแนวรบด้านการเมือง เพิ่มภาระให้รัฐบาลมากขึ้น
คู่ขนานไปกับการปั่นกระแส #MobFromHom ตั้งวงประท้วงผ่านทางสังคมออนไลน์ ที่ล้อไปกับมาตรการ Work From Home ทำงานจากที่บ้าน ตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” นั่นเอง
อุ่นเครื่องไว้ล่วงหน้า ประมาณว่าหลังจงสงครามโควิดจะลงถนนกันแล้ว
แต่เอาเข้าจริงการประท้วง #MobFromHome ก็ดูท่าจะ “ไม่เวิร์ก” อย่างที่พยายามเคลมๆกันอยู่ โดยเฉพาะประเด็น CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ที่กระทรวงพาณิชย์เจ้าของเรื่องขอถอนวาระจากการประชุมคณะรัฐมนตรี
จน “ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้าน” คุยโวว่า รัฐบาลยอมถอยเพราะกระแส #MobFromHome
ทั้งๆ ที่ประเด็นคัดค้าน CPTPP นั้นตั้งต้นมาจาก “ภาคประชาชน” และรัฐบาลก็คงเงี่ยหูฟังว่ามีข้อท้วงติง จึงจำต้อง “ชะลอ” ออกไป ด้วยมองว่าเป็นในช่วงที่ยังไม่เหมาะสมกับการชี้แจงรายละเอียดที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน
แล้วที่ผ่านมาฝ่ายค้านเองก็ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้เลย เพิ่งมา “จับกระแส” ได้ช่วงกลางดึกของคืนก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาถือป้ายคัดค้านโพสต์ลงเฟซบุ๊ก
เผอิญกระทรวงพาณิชย์ถอนวาระ ก็เลยคุยเขื่องว่าเป็นเพราะ #MobFromHome ต่อต้านจนกลายเป็น ”กระแส”
ถามว่าหาก #MobFromHome ได้ผลจริง มีหรือรัฐบาลจะกล้าขยายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก ทั้งที่ปั่นกระแสต้านภายใต้แฮชแท็ค #MobFromHome มาเนิ่นนาน
เฉกเช่นเดียวกับแฮชแท็คโจมตีรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น #รบฮซ หรือ #รบสต ที่จงใจใช้ถ้อยคำรุนแรงให้มีการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาล หรือการที่วนลูปกลับไปที่ #ส.ว.มีไว้ทำไม
ในอารมณ์ต้องการชวนทะเลาะให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมา ทว่าฝ่ายรัฐบาลไม่เล่นด้วย จะมีก็เพียง ส.ว.บางคนไปติดเบ็ดเท่านั้น แล้วก็ใช้ “สื่อหัวแดง” ตีปี๊บว่า #MobFromHome ได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้
น่าสนใจว่า สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อม็อบออนไลน์ #MobFromHome สร้างกระแสเป็น Challenge ถ่ายรูปถือป้ายโจมตีรัฐบาล
เป็น สนท.องค์กรใหม่เอี่ยม ที่คู่หูอย่าง “บอล” ธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกันตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2561 นี่เอง
เลือกใช้ตัวย่อ “สนท.” ให้เหมือนกับ “ศนท.” หรือศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เมื่อครั้งอดีตอย่างจงใจ
ชั่วโมงนี้ปั้นดาวดวงใหม่ “สาวอั่น” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์” นักศึกษาธรรมศาสตร์ และแกนนำพรรคโดมปฏิวัติ ที่ขึ้นเป็นประธาน สนท. ต่อจาก “เพนกวิน-พริษฐ์” เมื่อปลายปีกลาย หวังใช้นามสกุล “ศิริขันธ์” ที่โด่งดังหลายสิบปีก่อนแถบอีสาน เป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้
พร้อมประกาศก้องไว้ว่า จบเรื่องโควิดเมื่อไร สนท.จะขับเคลื่อน “แฟลชม็อบ” อีกครั้ง หลังรอบก่อนเกือบจุดติด แต่เจอไวรัสโควิดเบรกซะหัวทิ่ม
คำถามมีว่า “เด็กๆ” อย่าง สนท. จะชูธง #MobFromHome ไปได้ถึงไหน
แล้วก็ต้องถามต่อไปว่า มี “ผู้ใหญ่” ชักใยอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ทั้งจากโมเดล “แฟลชม็อบ” ที่ **“เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ** อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หยิบขึ้นมาใช้เป็นคนแรกๆ
หรือร่องรอยศักยภาพในการปั่นกระแสทางโซเชียล คล้ายกับที่เคยปั่นแฮชแท็ก #กูสั่งให้มึงเข้าสภา ตอกหน้า “พรรคเพื่อไทย” จนหน้าชา เมื่อหลายเดือนก่อน
จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า กระแส #MobFromHome ที่ว่ากันว่าอุ่นเครื่องก่อนม็อบกันจริง เป็นแค่เกมของ “ฝ่ายแค้น” ที่ยืมมือเด็กออกมาท้าตีกับรัฐบาลหรือเปล่า?.