ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ลุงตู่” ตัดจบ “ลุงป้อม” คอนเฟิร์ม แต่พวกวอนนาบีไม่เคยจบ งบสี่แสนล้านมันล่อใจ
พรรคพลังประชารัฐกลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง โดยมีข่าวปล่อยออกมาตามสื่อว่ามีความเคลือนไหวจากกลุ่มสามมิตร ที่มี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม เป็นหัวหน้า พร้อมกับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม แกนนำคนสำคัญร่วมด้วยช่วยกันกับกลุ่มของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ จากที่เคยสนับสนุน กลับลำไม่สนับสนุนกลุ่มของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรีแล้ว
โดยตัดสินใจเซ็นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรคไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอยื่นให้นายทะเบียนพรรคการเมือง ตามขั้นตอนพร้อมๆ กับกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ที่มีข่าวลาออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหวังกดดันให้ “อุตตม สาวนายน” ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค พปชร. เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงอำนาจการจัดการในพรรค อันจะแคนนอนไปถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บีบให้มีการปรับ ครม. ตามแผนเดิมซึ่งเคยล้มไม่เป็นท่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะเสียงของกรรมการบริหารพรรคไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามข้อบังคับพรรค
ข่าวยังระบุว่า การกลับลำของ “กลุ่มสามมิตร และ ร.อ.ธรรมนัส” ครั้งนี้ ทำให้ขณะนี้เสียงของฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค นำโดย “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานวิปรัฐบาล, “สุชาติ ชมกลิ่น” ส.ส.ชลบุรี และประธานส.ส.ของพรรค, “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ, เกิน 18 เสียง หรือเกินกึ่งหนึ่งแล้ว ซึ่งตามข้อบังคับพรรคหากกรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่ง จะทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันสิ้นสุดลง ต้องเลือกชุดใหม่
ข่าวคาดว่าจะมีการยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจัดประชุมใหญ่เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากได้รับสัญญาณและสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม อีกทางหนึ่งตามข้อบังคับพรรค หากหัวหน้าพรรคลาออกเองเพียงคนเดียว ก็จะทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ ขณะที่เรื่องการปรับ ครม.นั้น เป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะตัดสินใจ…”
นั่นเป็นข่าวที่เผยแพร่กันออกมา ปรากฏว่า สมาชิก พปชร.ทั้งหลาย ก็รู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล เพราะ “กลุ่มสามมิตร” นั้น รู้กันว่าเหนียวแน่นมั่นคงกับ “สมคิด” แค่ไหน ขณะที่กลุ่มของ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ไม่มีท่าทีกับเรื่องนี้เลย จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะตัดเยื่อใยสายสัมพันธ์ฉันมิตรกันมานานกับกลุ่มสมคิด
ยิ่งพอเช็กความจริงกันวงในแล้ว “สุริยะ-สมศักดิ์-ร.อ.ธรรมนัส” ไม่มีใครเซ็นใบลาออกตามที่เป็นข่าว จะมีก็แต่กรรมการบริหารรายชื่อเดิมๆ ที่นำโดย “ครูตั้น“ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่เซ็นใบลาออกนำร่องกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ
แว่วว่า สมาชิกพรรค พปชร.ส่วนใหญ่เรียกร้องให้พรรคต้องมีคำตอบ กรณีใบลาออกของ “ครูตั๊นและพวก” เริ่มมีสมาชิกพรรคสอบถามไปยังนายทะเบียนพรรค ว่าจะดำเนินการอย่างไร
สรุปได้ว่า นี่เป็นการปล่อยข่าวลือข่าวลวงทำลายกันอีกระลอกโดยกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากการปรับ ครม.อย่างไม่ต้องสงสัย !!
แล้วก็ถามไถ่กันต่อว่า แล้วทำไมมาเลือกช่วงเวลานี้ปล่อยข่าว
เห็นว่า หนึ่งนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ความหวาดวิตกต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย หลังจากมียอดผู้ติดเชิ้อลดลงเป็นลำดับจนเป็นศูนย์เมื่อวันก่อน มาตรการต่างๆ ที่เคยเข้มงวดก็จะเริ่มผ่อนปรน ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวคราวก่อนที่โควิด-19 ยังหนัก และยังมีเรื่องการเยียวยาและฟื้นฟูจนกลุ่มเคลื่อนไหวที่อยากเป็นรัฐมนตรีถอยหลังกรูดแทบตกบันได และถูกตราหน้าว่า “เห็นแก่ตัว” ไม่เห็นความเดือดร้อนของประชาชน คิดแต่เรื่องอำนาจวาสนาของตนเองและพวกพ้อง รวมถึงท่าทีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนไหวการเมืองภายใน พปชร. ในช่วงที่ทุกฝ่ายกำลังแก้ปัญหาโควิด-19 ให้กับประเทศชาติ
และ สอง นี่สำคัญมาก ที่ทำให้กลุ่มไม่หวังดีเคลื่อนไหวช่วงนี้ คือ “พ.ร.ก.เงินกู้ ล้านล้าน” นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้าน ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลย่อมล่อตาล่อใจ ทำให้ “ปอบ” ทั้งหลายน้ำลายไหล เพราะหิวจัด หิวมานานจ้องกันตาเป็นมัน !!
แน่นอนว่า หาก “ลุงตู่” ยังวางใจให้ทีมเศรษฐกิจ ซึ่งนำโดย “รองฯ สมคิด” และ รมว.เศรษฐกิจ อุตตม-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้รัฐบาลมาโดยตลอดทำหน้าที่ต่อไป โอกาสของพวกเขาเหล่า “ปอบหิวโซ” ก็แทบจะไม่มีโอกาสรุมทิ้งงบฯ
ฟังว่า “อุตตม” เจอหน้าสื่อเมื่อวานก็ยืนยันหนักแน่นว่า กระแสข่าวที่ว่าจะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือลาออกไปแล้วด้วย บอกเลยตรงนี้ว่า ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ลาออกอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างสภาพเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันนี้ข่าวก็คือข่าว ตามข้อเท็จจริง รมว.คลัง ยังทำงานเหมือนเดิมตามที่ได้เคยพูดก่อนหน้านี้ เรื่องของพรรคก็เป็นเรื่องของพรรค สถานการณ์ตอนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ทำตามนายกฯว่า ให้เอางานนำทุกอย่าง
ตอนนี้ทุกคนก็ถึงบางอ้อ! ...อ๋อเป็นอย่างนี้นี่เอง!!
คราวที่แล้วถ้าจำได้ หลังจากมีกระแสข่าวป่วนใน พปชร. นายกฯได้เรียก “อุตตม” พร้อมกับ “สนธิรัตน์” ปิดห้องคุยกัน โดยที่กลับออกมาพร้อมคำแนะนำจากนายกฯ และคำมั่น ขอให้ทั้งสองคนทำงานต่อไป ทั้งในตำแหน่งหน้าที่ รมว. และในพรรค พปชร. ปัญหาของพรรคก็ให้ไปหารือกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งต่อมาทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยดี
ท่าทีลุงชัดซะขนาดนั้น แถมยังมีรายงานว่า “ลุงตู่” เอือมระอากับพฤติกรรมของกลุ่มแกนนำคนป่วนพรรคและชอบหาเรื่องมาให้ ถึงกับว้าก รมว.แกนนำในกลุ่มนี้ไปเบาๆ “ไม่ต้องมาเดินตามผมแล้ว หาแต่เรื่องมาให้โดนด่าและปวดหัวอยู่เรื่อย”
เรื่องคิดว่าจะเงียบและสงบที่ลุงตู่ เพราะลุง “ตัดจบ” ขณะที่ “ลุงป้อม” ก็คอนเฟิร์มไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างไปต่อแล้ว
ที่ไหนได้ มีพวก “วอนนาบี” อยากทึ้งงบ 400,000 ล้าน จนอดรนทนไม่ไหว ออกมาเคลื่อนไหวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ไม่เห็นหัว “ลุงตู่-ลุงป้อม”
เรียกว่า มีความต้องการไม่สิ้นสุด ไม่เข็ด ไม่จำ ไม่จบ
ก่อเรื่องหนนี้ ตัองดูกันต่อไป “ลุงตู่” จะยังไง ที่แน่ๆ คงจะไม่ใช่แค่ตะคอกแล้วล่ะ .
** “ชวน” เดือดจัด สั่งสอบข้าราชการรัฐสภากราวรูด ที่ปล่อยให้นายทหารเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานรัฐสภา ทำท่าทางที่ไม่สุภาพถ่ายรูปลงโซเชียลฯ เหมือนหมิ่นสถาบันนิติบัญญัติ แต่กรมข่าวทหารบกต้นสังกัด สอบสวนแล้วแค่ว่ากล่าวตักเตือนที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมในสถานที่ราชการ
เหตุเกิดที่รัฐสภา “สัปปายะสภาสถาน” เมื่อมีนายทหารคนหนึ่งไปนั่งเก้าอี้ประธานรัฐสภา ในห้องประชุมสุริยันที่ยังไม่ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ ด้วย “แอกชัน” ที่ดูแล้วไม่เหมาะสม แถมถายรูปเอามาโพสต์ลงโซเชียลฯ จนเป็นกระแสดรามา
ทำเอา “นายชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ นายชวน ได้นำคณะผู้สื่อข่าว เข้าไปตรวจความเรียบร้อยของห้องประชุมก่อนเปิดสมัยประชุมสภา ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ มีนักข่าว ช่างภาพ ขอให้ลองนั่งเก้าอี้ประธานสภา นายชวน ยังไม่ยอมนั่งเลย เพราะถือว่ายังไม่มีพระบรมราชโองการเปิดสมัยประชุม
แล้วนายคนนี้เป็นใคร ทำไมถือวิสาสะเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวนี้ แถมนั่งในลักษณะที่ไม่เหมาะสมแล้วยังถ่ายภาพไปโพสต์ในโซเชียลฯอีกด้วย ... เหมือนเป็นการหมิ่นสถาบันนิติบัญญัติ ชัดๆ !!
ว่าแล้ว “นายชวน” ก็เรียก “นายสรศักดิ์ เพียรเวช” เลขาธิการสภาฯ และข้าราชการสภาฯที่มีหน้าที่รับผิดชอบเข้าไปสอบถาม ชี้แจงกันเป็นชั่วโมง ...เพราะห้องประชุมนี้ ยังเป็นพื้นที่ห้ามเข้า หากจะเข้าไปต้องได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้รับเหมาหรือเจ้าหน้าที่รัฐสภาเองก็ตาม แล้วปล่อยให้คนนอกเข้าไปได้อย่างไร
...นอกจากยอมรับผิด และกราบขอโทษแล้ว “สรศักดิ์ เพียรเวช” ได้ชี้แจงถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยของรัฐสภา ว่า มีตั้งแต่ระดับต้น กลาง สูงสุด ซึ่งขณะนี้ของสภาฯ อยู่ในระดับกลาง การเข้าออกห้องประชุมมีการตรวจในชั้นแรก โดย ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เป็นผู้ที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าเด็ดขาด... ด่านที่สอง สำนักงานเลขาธิการสภาจะป็นผู้รับผิดชอบ โดยจะให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตและจำเป็นจริงๆ แต่ที่เกิดความผิดพลาดบกพร่องในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงของการขนย้ายข้าราชการมาอยู่อาคารใหม่ แล้วถือโอกาสการพากันเข้าไปชมห้องประชุมสุริยัน และทราบมาว่าข้าราชการสภาฯ บอกแล้วว่าไม่ให้นั่ง แต่นายทหารคนดังกล่าวก็ยังนั่ง และถ่ายรูปด้วยท่าทางที่ไม่สุภาพ โพสต์ลงโซเชียลฯ จนเกิดกระแสดรามาดังกล่าว
แน่นอนว่า ความบกพร่องในหน้าที่ครั้งนี้ ข้าราชการรัฐสภาต้องโดนสอบกันกราวรูด ไล่ตั้งแต่ผู้บัญชาระดับสูงลงมา ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือปล่อยละเลยหรือไม่ และการพาบุคคลภายนอกเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามโดยไม่ขออนุญาต มีความผิดหรือไม่ มีโทษถึงระดับไหน พร้อมกับทำหนังสือแจ้งไปยังต้นสังกัดของนายทหารคนดังกล่าว โดยแจ้งไปทางปลัดกระทรวงกลาโหม ให้ดำเนินการเอาผิด
ขณะที่ “พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง” รองโฆษกกระทรวงกลาโหม เผยว่า นายทหารคนดังกล่าวนั้น “สังกัดกรมข่าวทหารบก” ซึ่งเจ้ากรมข่าวทหารบกได้สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนวินัยทหารแล้ว ... จากการเรียกมาสอบสวน เจ้าตัวก็ยอมรับ และเสียใจในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผู้บังคับบัญชาจึงได้ว่ากล่าวตักเตือน พร้อมพิจารณาดำเนินการทางวินัย ฐานแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมในสถานที่ราชการ และกองทัพบกได้กำชับกำลังพลในการเข้าไปในสถานที่ใดๆ ต้องปฏิบัติตนตามระเบียบของสถานที่นั้น รวมทั้งการระมัดระวังเรื่องกิริยามารยาทเป็นสำคัญ
ในมุมของรัฐสภานั้น ถือว่ากรณีนี้ข้าราชการสภาฯที่รับผิดชอบ บกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้คนนอกเข้ามากระทำการที่เข้าข่าย “หมิ่นสถาบันนิติบัญญัติ” ความผิดนี้โทษคงจะหนักหนาเอาการอยู่ ... แต่กองทัพบก ลงโทษทางวินัยเพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนที่แสดงกิริยาไม่เหมาะสมในสถานที่ราชการ ...ดูจะโทษเบาไปหน่อยมั้ย