ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มาอีกเป็นระลอกที่ 2 ระลอกที่ 3
กระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงภายใน “ค่ายลุงตู่” พรรคพลังประชารัฐ ที่เพิ่งมีคำสั่งให้หยุดความเคลื่อนไหวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วก็คาดว่า “คลื่นใต้น้ำ” ในพรรคน่าจะสงบไปจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ดังที่ “หมองู” อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งเบรกโดยลั่น “ประกาศิต” ว่า ไม่ต่อรอง-ไม่เจรจา เพราะตัวเองมีอำนาจตัดสินใจเพียงผู้เดียว หลังมีข่าวในทำนองจะเปลี่ยนผู้บริหารพรรค ที่คาบเกี่ยวมาถึงการปรับคณะรัฐมนตรี
สอดรับกับ “คนในข่าว” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีข่าวว่าจะมาเป็น “หัวหน้าพรรคคนใหม่” ส่งสัญญาณถึง “ลิ่วล้อ” ให้หยุดการเคลื่อนไหวไปก่อน เพราะช่วงเวลานี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญไวรัสโควิด-19
ไม่เท่านั้น “บิ๊กตู่” ยังเรียก อุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้าพรรค และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค เข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 พ.ค. แม้จะทำให้ดูเหมือนเป็นการเรียกมารายงาน และสั่งการตามตำแหน่งหน้าที่
แต่ในทางการเมืองถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ว่ายังถือหาง “อุตตม-สนธิรัตน์” อยู่
ทว่า ผ่านไปสัปดาห์เดียว พวก “รัฐมนตรีวอนนาบี” ที่อยากขึ้นชั้น “เสนาบดี” กันตัวสั่น ก็คืนชีพเป็น “ซอมบี้” ปล่อยข่าวกันอีกคำรบ แบบไม่ไว้หน้า “ประกาศิต” ของ “นายกฯตู่” หรือถ้าจะให้คำว่า “ไม่เห็นหัว” ก็คงจะว่าได้
งวดนี้ “เล่นใหญ่” กว่าเดิม ปล่อยเป็นตุเป็นตะ ว่ายังมีความพยามเดินเกมล็อบบี้ให้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออกให้ถึงกึ่งหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
หมุดหมายเพื่อเขี่ย “อุตตม-สนธิรัตน์” ออกจากตำแหน่ง
หลังจากที่งวดก่อนล้มเหลว เมื่อมีกรรมการบริหารพรรคลาออกไม่ตามเป้า คราวนี้ก็เลยล็อดเป้าไปที่ “กลุ่ม-ก๊วน” ที่มีท่าทีสนับสนุน “กลุ่มสี่กุมาร” ของ “อุตตม-สนธิรัตน์” และ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีภาพ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีเสียงในกรรมการบริหารพรรคเหนียวแน่นอยู่ไม่น้อยกว่า 10 เสียง
โดยพยายามแซะไปที่ “กลุ่มสามมิตร” ของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.อุตสาหกรรม ที่ก่อนหน้านี้สนับสนุน “ทีมเฮียกวง” ให้เปลี่ยนท่าที
มีการอ้างว่า “สุริยะ” ได้เข้าพูดคุยกับ “บิ๊กป้อม- ประวิตร” ก่อนตัดสินใจเซ็นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไว้แล้ว เช่นเดียวกับ “สมศักดิ์” แต่ยังไม่ยื่นอย่างเป็นทางการ เพื่อรอ “สัญญาณสุดท้าย” อีกครั้ง โดยกลุ่มสามมิตรอยู่ในกรรมการบริหารถึงอย่างน้อย 8 คน ได้แก่ สุริย- สมศักดิ์, “เสี่ยต้น” สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี, นิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์, “เสี่ยโฟม” พงษ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, “ส.ส.ไก่” สุรชาติ ศรีบุศกร ส.ส.พิจิตร และ สัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ ขณะที่ “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท นั้นลาออกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ทว่า เมื่อเช็กแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
ทำนองเดียวกับ “กลุ่มผู้กอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีข่าวออกมาได้เซ็นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรคไว้แล้วเช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้ามีท่าทีสนับสนุน “ทีมสมคิด” โดยมีชื่อไปร่วมวงหารือกับ “สมคิด-สุริยะ” ที่กระทรวงอุตสาหกรรม หลังจากที่มี “คลื่นใต้น้ำ” จากขั้วอื่นในพรรคเกิดขึ้น โดย “กลุ่มผู้กอง” นั้นมี 3 เสียงในกรรมการบริหารพรรค ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส, บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ “เสี่ยไผ่” ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร
ทว่า เมื่อเช็กแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเช่นกัน
สมทบกับเหล่า “รมต.วอนนาบี” ที่อยู่กรรมการบริหารพรรคด้วยตัวเอง 4-5 คน ทั้
พวกที่อยากเป็นจนตัวสั่น หรือพวกที่เป็นแล้วอยากใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น* ส.ส.ชลบุรี 2 สมัย และประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่หมายตา รมว.แรงงาน หรือ รมว.อุดมศึกษาฯเอาไว้, “เสี่ยแฮ้งค์ - อนุชา” และรองประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่อยู่ในคาถากลุ่มสามมิตร ก็มีชื่อคั่ว รมว.ศึกษาธิการ, สันติ พร้อมพัฒน์ ที่หวังอัพเกรดจาก รมช.คลัง ขึ้นเป็น “ขุนคลัง” รมว.คลัง พ่วงด้วยเก้าอี้เลขาธิการพรรค, “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ว่ากันว่าจะออกจากโฆษกรัฐบาล มาเป็น รมช.คลัง
แล้วยังมีแนวร่วมสำคัญอย่าง “กลุ่มลูกกรอก” ที่มีอยู่ 5 เสียงในกรรมการบริหารพรรค โดยที่พี่ใหญ่ “เสี่ยตั้น” ณัฐฏพล ทีปสุวรรณ ต้องการสลับจาก รมว.ศึกษาธิการ ไปเป็น รมว.พลังงาน แล้วยังมี “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ชาญวิทย์ วิภูศิริ ส.ส.กทม., ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ “เสี่ยจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม.
ที่ขาดไม่ได้ “โต้โผ” อย่าง *“เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ “กลุ่มสี่กุมาร” ที่เชื่อว่านอกจากจะต้องการพาวเวอร์ในการคุมพรรคแล้ว ยังลุ้นให้ “ปลัดแบงค์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่เป็น รมช.คมนาคม พ้นจาก “กระทรวงหูกวาง” แล้วไปใหญ่ที่กระทรวงอื่น หลังถูก “ว่าการ” บอนไซไว้จนเกือบไม่มีงานทำ และสำคัญที่สุดคดีความของ “วิรัช” กับเมีย-น้องเมีย ที่คาอยู่ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ข่าวปล่อยลอตล่าสุดสรุปเสร็จสรรพ มีกรรมการบริหารพรรคลาออกแล้วอย่างน้อย 23 จาก 34 เสียง เท่ากับว่าเกินกึ่งหนึ่งแล้ว ซึ่งตามข้อบังคับพรรค ส่งผลทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันสิ้นสุดลง ต้องเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยเตรียมยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจัดประชุมใหญ่ให้เร็วที่สุด หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
ท้ายข่าวต่อให้เรียบร้อยด้วยว่า ล่าสุด “อุตตม” ได้ยอมถอย และจะลาออกจากหัวหน้าพรรคด้วยตัวเองแล้วด้วย
เท่ากับว่าเรียบร้อย “โรงเรียนลุงป้อม” แต่งตัวเตรียมขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคนใหม่ แบบประชุมได้เมื่อใดก็เมื่อนั้น
ทว่า ข่าวสะพัดได้ไม่กี่ชั่วโมงดี ก็เป็น “อุตตม” ที่มีคนตัดสินใจให้เสร็จสรรพว่า ยอมลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประรัฐแล้ว ออกมาปฏิเสธเสียงดังฟังชัดว่า “ขอตอบแบบตรงประเด็นเลย ในเรื่องกรณีมีข่าวผมจะลาออก หรือลาออกไปแล้วนั้น ขณะนี้ผมยังอยู่เหมือนเดิม ยังไม่ได้ลาออก หรืออะไรทั้งนั้น ทุกอย่างยังอยู่สภาพเดิม”
ถือเป็นความตื้นเขินของ “ต้นตอข่าว” เพราะหาก “ฝ่ายแซะ” ได้เสียงกรรมการบริหารพรรค 23 จาก 34 เสียงจริง ก็ไม่จำเป็นต้องมาต่อท้ายข่าวว่า “อุตตม” ตัดสินใจลาออกด้วยตัวเอง เพราะเท่ากับคณะกรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพไปโดยปริยายอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับ “ระหว่างบรรทัด” ที่อาจเข้าข่าย “เฟกนิวส์” ที่ว่า “บิ๊กป้อม” ต้องต่อสายเกลี้ยกล่อมแกนนำพรรคกลุ่มต่างๆ เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคลาออกให้เกินกึ่งหนึ่ง
เพราะอย่างที่รู้กัน สถานะที่แท้จริงของ “บิ๊กป้อม” ประธานยุทธศาสตร์พรรค คือ “เจ้าของพรรคตัวจริง” หากต้องการนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคจริง และต้องการให้กรรมการบริหารพรรคลาออกจริง แค่กระแอมเบาๆ ก็คงเตลิดเปิดเปิงกันหมดแล้ว
ไม่เห็นจำเป็นต้องลงทุนต่อสายเจรจา หรือต้องเปลืองแรงล็อกคอ “อุตตม” มาบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เหมือนข่าวปล่อยก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ตรงตามที่ “ผู้กองธรรมนัส” นิยามให้ว่า “ข่าวมั่ว” และยืนยันว่าตัวเองยังไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “กลุ่มก๊วน” ในพรรคพลังประชารัฐเคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนตัว “อุตตม-สนธิรัตน์” ซึ่งเป็นประเด็นหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่เสร็จศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.62
ที่ขย่มกันแรงๆแบบ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” ก็ช่วงที่กำลังมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรก ครั้งนั้นมีความพยายามแย่งชิง “กระทรวงขุมทรัพย์” จนมีการออกมาเปิดหน้าให้ข่าวกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะรายของ “บิ๊กสน-สนธิรัตน์” ที่โดนถล่มไปหลายขนานก่อนมานั่ง รมว.พลังงาน
การปล่อยข่าวรัวๆช่วงนี้ก็ไม่ต่างไปจากครั้งนั้น ความเคลื่อนไหวก่อนที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ว่ากันว่าต้องรีเซตความเชื่อมั่นรัฐบาลกันใหม่ หลังจบวิกฤตโควิด-19 ในเร็วๆนี้
ส่วนใครเป็นใคร “รมต.วอนนาบี” คนไหนเป็น “เจ้ากรมข่าวปล่อย” หาไม่ยาก
แล้วก็อ่านไม่ยากเช่นกันว่าทำไมถึงต้องล็อกเป้า “กลุ่มสี่กุมาร” ที่หมายรวมถึง “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” เลยเถิดมาถึง “เฮียกวง-สมคิด” ที่เท่ากับ 4 เก้าอี้รัฐมนตรี ที่จะกลายเป็นเค้กก้อนใหม่ให้ “นักเลือกตั้ง” มาแบ่งกัน
และต้องยอมรับด้วยว่า “กลุ่มสี่กุมาร” มี “จุดอ่อน” ตรงปฏิสัมพันธ์กับ ส.ส.ในพรรคต่างจากที่เคยเป็น เพราะใช้ “ผลงาน” ค้ำเก้าอี้ มากกว่าใช้ “จำนวน ส.ส.” แข่งกัน เหมือน “การเมืองแบบเก่า”
อีกทั้งยังมี “ปัจจัยพิเศษ” ที่เหมือนเพิ่ม “เดิมพัน” ให้ต้องรีบคว่ำ “กลุ่มสี่กุมาร” ให้ได้โดยเร็ว จากกรอบการใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 นั้น มีการแบ่งสรรวัตถุประสงค์เงินกู้ไว้ 2 ส่วน
คือ 6 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้แก่ภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ส่วนอีก 4 แสนล้านบาท กันไว้ใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังสถานการณ์คลี่คลาย
คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า งบประมาณจากเงินกู้ก้อนหลัง “4 แสนล้านบาท” เป็นตัวเร่งที่ทำให้ “ซอมบี้” ในรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ คืนชีพกันเร็วกว่าที่คาด ใช่หรือไม่
และใช่หรือไม่ว่าเหตุที่ต้องการขย่มให้ “อุตตม” และ “สมคิด” หลุดออกจากคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องเป็นอยู่เป็น “ก้างขวางคอ” เพื่อที่จะได้เข้ามา “รุมทึ้ง” เงินกู้ก้อนนี้
ทำให้เก้าอี้ “ขุนคลัง” ที่ว่ากันว่าเป็น “งานหิน” และเป็น “ของแสลง” ของนักการเมือง กลายเป็น “เก้าอี้ในฝัน” ทันที เมื่อมีงบประมาณ 4 แสนล้านบาทเป็น “หน้าตัก” เช่นเดียวกับเก้าอี้รองนายกฯของ “เฮียกวง” ที่ยังเสมือนเป็นรองนายกฯด้านเศรษฐกิจอยู่
ล่าสุด “อุตตม - สมคิด” ร่วมกันผลักดันกรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยด้านต่างๆ ผ่านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ซึ่งหลักการผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้จะมีการวางกรอบการพิจารณากลั่นกรองอย่างรอบคอบแล้ว แต่จำนวนเงิน 4 แสนล้านบาท ก็ทำให้“นักเลือกตั้ง” ตาโตคล้ายกับเมื่อครั้งโครงการไทยเข้มแข็ง 1.4 ล้านล้านบาท ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยเป็น “เค้กก้อนโต” ที่ “นักเลือกตั้ง” ฟาดกันสนุกสนานมาแล้ว
วันนี้คดีที่พะยี่ห้อ “ไทยเข้มแข็ง” ก็ยังค้างในชั้น ป.ป.ช.อื้อ แล้วหลายคนที่พัวพันก็อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ด้วย
นี่ต่างหากที่ทำให้ “นักเลือกตั้ง” ออกมาสามัคคีกันขย่ม “กลุ่มสี่กุมาร”
ทั้งที่ยามนี้ “บิ๊กป้อม” คอยอยู่เบื้องหลังเป็น “บิ๊กบราเทอร์ส” ก็คุมเกมทุกอย่างอยู่หมัด แต่ “ลิ่วล้อ” กลับต้องการผลักไปอยู่ “หน้าฉาก” กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ขุดปมเก่าๆ มาโจมตี
ไม่ทันไร “ทั่นโรม” รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็รีบโพสต์แขวะประหนึ่งรับน้องทันทีว่า “ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับ พล.อ.ประวิตร ที่กำลังจะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ แต่ความจริงแล้วคุณประวิตรก็อายุมากแล้ว ควรจะไปใช้ชีวิตวัยเกษียณที่บ้านได้แล้ว ประเทศไทยบอบช้ำมากพอแล้วครับ อย่าทำร้ายประเทศไทยไปมากกว่านี้เลย”
ว่ากันว่า บรรดา “ลิ่วล้อ” ที่คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปกล่อม “(เจ้า) นายป้อม” ให้เคลิบเคลิ้มกับแผนการยึดพรรคว่าเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องใช้ “บารมี” ระดับ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” เท่านั้น
เหมือนไม่ให้ราคา “ประกาศิต” ของ “นายกฯตู่” ที่ว่า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ก่อนในยามนี้ แต่ก็ยังมีคนคอยอวยตำแหน่งให้ “พี่ป้อม” อันมีผลกระเทือนมาถึงรัฐบาลอีก
ไม่ต่างจากการไสให้ “พี่ป้อม” ให้ดูขัดแย้งกับประกาศิต “น้องตู่” อย่างไรอย่างนั้น
ซ้ำร้ายยัง “เสี้ยม” ด้วยว่า วันนี้ “บิ๊กป้อม” เสมือน “ขาลอย” เหลือแต่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ไร้อำนาจสั่งการใดๆ ทั้งกระทรวงกลาโหม, กระทรวงมหาดไทย หรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ถูกยึดไปเรียบวุธในคณะรัฐมนตรีชุดนี้
จึงสมควรยึดพรรคพลังประชารัฐ ไว้เพื่อ “ค้ำอำนาจ” ต่อรองในทางการเมือง
ทั้งที่ความจริงพวก “ซอมบี้” แค่หวังยืมมือ “บิ๊กป้อม” เพื่ออำนาจตัวเองและพวกพ้อง กับของแถมเป็น “เค้ก 4 แสนล้าน” ที่จ้องสวาปามกันมากกว่า ใช่หรือไม่? ถามใจตัวเองดู.