ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อารมณ์เหมือนโทรออก แล้วถูกปลายทางตัดสายทิ้ง
ตามคิวที่บางก๊วนใน “ค่ายพลังประชารัฐ” เปิดปฏิบัติการเลื่อยอำนาจ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค
หวังตีชิ่งไปชิง “เก้าอี้” รัฐมนตรีของกลุ่ม “สี่กุมาร” ที่ว่ากันว่ามี “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็น “นินจา” อยู่เบื้องหลัง โดยดัน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ออกมาชนด้วยตัวเอง
“เล่นแง่” ถึงขั้นจงใจใช้ลูกเล่นทางกฎหมาย ให้กรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็น “สายสี่กุมาร” ไขก๊อกกรรมการบริหารพรรค เพื่อให้เหลือสัดส่วนไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เพื่อจะให้ผู้บริหารชุดเก่าพ้นสมาชิกภาพโดยอัตโนมัติ หลังกดดันมาหลายรอบให้ลาออก แต่ไม่เป็นผล
ถึงขนาดเอาตัวละครใหญ่ขึ้นมาเล่นกันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าว “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ จะลงทุนนำร่องลาออกคนแรกๆ เพื่อส่งสัญญาณให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่า ปัญหาในพรรคพลังประชารัฐย่ำแย่หนัก ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้ว
หรือกับแก๊งคนอยากใหญ่ในพรรค นำโดย “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประขารัฐ กับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ “สำรองหนึ่ง” ในลิสต์รัฐมนตรี ที่หนนี้ “ยุ” ให้ “(เจ้า) นายป้อม” พล.อ.ประวิตร ออกหน้ากดดัน “อุตตม-สนธิรัตน์” ด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิด “อิมแพ็ก” แรงกว่า ส.ส.ทำกันเอง
ตามข่าวที่ว่า หลังพิธีตั้งศาลพระพรหมตึกที่ทำการพรรคแห่งใหม่ เมื่อเดือนก่อน “ป๋าป้อม” ล็อกคอ “อุตตม” มาบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อ “ล้างไพ่” แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค และตัวเองจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเอง
นอกจากนี้ ยังมี “ตัวละครลับ” ออกมาให้ได้เห็นอย่าง “เสธ.อ้น” พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชา สมาชิกวุฒิสภา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่า นี่คือ มือทำงานลับของ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับ “วิรัช-สุชาติ” ที่มีข่าวว่า เป็นคนโทรศัพท์บีบให้ “อุตตม-สนธิรัตน์” ปล่อยมือจากอำนาจ
กระทั่งชื่อของ “เสธ.อ้น” ทำเอาพรรคพลังประชารัฐเดือดร้อน โดนร้อง “คนนอก” ครอบงำ
แต่แผนการไม่นำพา เพราะอีกฝั่งระวังตัวมาตลอด และรู้ดีว่า “ก๊วนลูกกรอก” แกนนำ กปปส.เก่า ที่นำโดย “เสี่ยตั้น” กับกลุ่มอำนาจใหม่ในพรรค ที่มาแท็กทีมกันหลังเลือกตั้ง อย่างจอมเก๋าทางการเมือง “วิรัช” แห่งก๊วนโคราช ที่ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน และ “สุชาติ” เจ้าของสมญา “มังกรลูกน้ำเค็ม” ที่ใช้ “ความใจใหญ่” ขยายอิทธิพลจาก 3 เขต จ.ชลบุรีที่ดูแลอยู่ เขยิบขึ้นมาคุมภาคกลาง สุมหัวกันรื้อโครงสร้างพรรค และพยายามยุยง “บิ๊กป้อม” ให้ออกหน้า
งานนี้ไม่ลึกซึ้ง แค่อยากเขี่ย “อุตตม-สนธิรัตน์” ที่ว่ากันว่า ไม่มี ส.ส.อยู่ในมือให้พ้นตำแหน่งบริหารพรรค แล้ว “ปล้น” โควตารัฐมนตรีของ “สี่กุมาร” ที่มี รมว.คลัง ของ “อุตตม” รมว.พลังงาน ของ “สนธิรัตน์” และ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของ “สุวิทย์ เมษินทรีย์” มาแบ่งเค้กกัน อะไรๆจะได้ “ลงตัว” กว่าหนที่ตั้งรัฐบาล แล้วมีคนอกหัก
ทว่า “ติดแง่ง” ขึ้นมา แบบที่ “สี่กุมาร” หรือ “จอมยุทธ์กวง” แทบไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ
เพราะทันทีที่เรื่องแดงขึ้นมา นอกเหนือจาก “นายป้อม” จะชิ่งไปล่วงหน้าแล้ว เพราะอ่านเกมออกว่า “ลูกน้อง” กำลังจะพาไปซวย อยู่เบื้องหลังเป็น “บิ๊กบราเทอร์ส” คุมเกมทุกอย่างอยู่หมัด ดันไปผลักไปอยู่ “หน้าฉาก” กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ขุดปมเก่าๆมาโจมตี
แล้วอย่าลืม “พี่ป้อม -น้องตู่” มองตารู้ใจ ฝ่ายหลังคิดอย่างไรกับข่าว “แย่งชามข้าว” ในพรรคพลังประชารัฐ มีหรือ “ลุงป้อม” จะอ่านไม่ออก
แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมื่อเรื่องมาถึงหู “บิ๊กตู่” อากัปกิริยาชัดว่า “ไม่แฮปปี้” เพราะ “ไทม์มิ่ง” ไม่ได้ ขณะที่รัฐบาลกำลังมุ่งมั่นอยู่กับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ กลับมีข่าวชิงอำนาจกันในพรรค เหมือนพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
ไม่เท่านั้น “ในข่าว” ยังเลยเอาล่อเอาเถิด จัดเก้าอี้คณะรัฐมนตรีกันเสร็จสรรพ วางตัว “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” เป็น รมว.อุดมศึกษาฯ, “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท รองประธานยุทธศาสตร์พรรค เป็น รมว.ศึกษาธิการ, โยก “เสี่ยตั๊น-ณัฐฏพล” จาก รมว.ศึกษาธิการ ไปเป็น รมว.พลังงาน, สันติ พร้อมพัฒน์ จาก รมช.คลัง ขึ้นเป็น “ขุนคลัง” รมว.คลัง และให้ “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากโฆษกรัฐบาล มาเป็น รมช.คลัง เป็นต้น
ส่วน “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์” ปิ๋วหมด
เล่นข่าวรุกฆาต จนลืมไปว่า “สิทธิ์ขาด” ในการเสนอแต่งตั้ง ครม.เป็นของนายกรัฐมนตรี คนถือสิทธิ์อย่าง “บิ๊กตู่” ก็ยิ่งไม่แฮปปี้ไปกันใหญ่
ก็เลยมีแอ๊กชันของ “ลุงตู่” ที่รู้ว่า หากปล่อยให้ข่าว “แย่งชามข้าว” กันในพรรคบานปลายในช่วงนี้ ย่อมส่งผลไม่ดีกับตัวเองที่คะแนนนิยมกำลังกระเตื้อง หลังสะกดจิตไวรัสโควิด-19 จนอยู่หมัด คนในชาติและต่างประเทศชื่นชน ต้องมาดรอปลงเพราะ “กิเลส-ความกระสัน” ของลูกพรรค
ประกาศการที่ประชุม ศบค.เลยว่า ตนเองเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจคนเดียว ช่วงเวลานี้ไวรัสโควิด-19 สำคัญที่สุด เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีจึงไม่เหมาะสม
เบอร์ 1 อย่าง “บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณชัด “บิ๊กป้อม” ที่เป็นเจ้าของพรรค ย่อมไม่หักไม่งอกับน้องรัก จึงต่อสายหาลูกพรรคให้หยุดการเคลื่อนไหว ไม่ต้องต่อสู้ หรือตอบโต้กันผ่านหน้าสื่อ จากนั้นทุกอย่างหยุดนิ่ง ก๊วนเคลื่อนไหว “รมต.วอนนาบี” ทั้งหลายหงายเงิบ
ตอกย้ำอีกที กับคิวที่ “บิ๊กตู่” เรียก “อุตตม-สนธิรัตน์” เข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 พ.ค. แม้จะพยายามทำให้ดูเหมือนเป็นการเรียกมารายงาน และสั่งการตามตำแหน่งหน้าที่ แต่แบบนี้ทางการเมืองถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ว่ายังถือหาง “อุตตม-สนธิรัตน์” อยู่
ก็เลยสรุปได้ว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นในเวลานี้ เอาเป็นว่า สถานการณ์มันยังไม่เหมาะสม สงครามต้องพักยกไปก่อน
แต่แน่นอนว่า สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะแผนรื้อโครงสร้างพรรคยังไม่ได้ถูกฉีกทิ้ง แค่เก็บเข้าลิ้นชักรอเวลาที่เหมาะสมก่อน ค่อยหยิบมาใช้หลังโควิด-19 สร่างซาลงไป
เพราะอย่างไรเสีย หลังโควิด-19 เบาบางลง “บิ๊กตู่” ต้องปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อรีเซ็ตความเชื่อมั่นประเทศ และบริหารอำนาจ เปิดโอกาสให้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล เปลี่ยนตัวผู้เล่น ให้คนที่ยังไม่ได้เป็นได้ลืมตาอ้าปากอยู่แล้ว
รายการประสานงาใน “ค่ายพลังประชารัฐ” ต้องปะทุอีกหน เพราะถึงตรงนี้ชัดเจนว่า “เฮียกวง” เอง แม้จะไม่ได้เข้าบ้าน “บิ๊กป้อม” ถี่เหมือนกับก๊วนของ “วิรัช-สุชาติ” แต่ค่อนข้างเป็นสายแข็งฝั่ง “บิ๊กตู่”
จะเห็นว่า ทุกครั้งที่ถูกก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ พยายามกัดเซาะฐานอำนาจ โดยเฉพาะตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคสาย “เฮียกวง” กลุ่มนี้จะเลี้ยวรถมุ่งหน้าไปที่ตึกไทยคู่ฟ้าทันที เพื่อเซฟอำนาจตัวเอง
ต้องบอกว่า เป็นพวก “หนังเหนียว” เพราะทุกครั้งที่สาย “เฮียกวง” ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า “บิ๊กตู่” มักจะออกมาตัดเบรกก๊วนอื่นๆ ในพรรคให้หยุดได้เสมอ ซึ่งถ้ารวมรอบล่าสุด นี่ก็เกิน 3 ครั้งเข้าไปแล้ว
แล้วการต่อสู้เพื่อรักษาฐานอำนาจของตัวเองภายในพรรคคงไม่ได้มีเฉพาะรอบนี้ เพราะอีกฝั่งที่ต้องการขึ้นเป็นใหญ่แทน ไม่เลิกรา
อย่างที่รู้กัน ก๊วน “วิรัช-สุชาติ” ไม่ได้เกลียดชังอะไร “เฮียกวง” มาก เพียงแต่เห็นว่า เป็นพวก “จับเสือมือเปล่า” ไม่มี ส.ส.ในมือ แต่กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีหลายตัว อย่าง “อุตตม-สนธิรัตน์” ที่ต้องการเอาออกจากหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ก็เพื่อผลเก้าอี้รัฐมนตรีที่จะว่างลงเท่านั้น
“สุชาติ” นั้นเป็น 1 คนที่ต่อแถวรอเป็นเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ติดอยู่ที่ว่า คนเก่าย่อมไม่ยอมลุกออกให้ง่ายๆ พวกมี ส.ส.ในมือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตร หรือกลุ่ม “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ยิ่งแตะไม่ได้ เลยพุ่งเป้ามาที่กลุ่มเปราะบางที่ไม่ได้พึ่งจำนวน ส.ส.อย่าง “สี่กุมาร”
แบบว่า ไม่รู้จะไปเสียบแทนใครได้ ไหนจะมี “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท พรรคพลังประชารัฐ ที่คั่วเก้าอี้รัฐมนตรีอีกคน หากเลื่อยขา “อุตตม-สนธิรัตน์” ซึ่งเป็นสายของ “เฮียกวง” ไม่ได้ มิวายต้องมาวิ่งแย่งชิงกันอีก อาจมีคนต้องอกหักซ้ำสอง
เลยพยายามโค่น “อุตตม-สนธิรัตน์” ออกให้ได้ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด เพราะกินโควตาไปถึง 4 ตัว ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง รมว.พลังงาน และรมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ถ้าเอาออกได้สัก 2 คน ทางจะโล่งขึ้นเยอะ
ขณะที่ “เสี่ยตั้น” เอง หนนี้ที่มาแจมด้วย ก็เพราะอยากจะขยับขยายไปสู่ความฝันเก่านั่นคือ เก้าอี้ “รมว.พลังงาน” ที่ครั้งหนึ่งเคยฟาดฟันกับ “บิ๊กซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาแล้ว แต่สุดท้าย “เฮียกวง” คว้าไปให้ “สนธิรัตน์” ได้ เพราะ “บิ๊กตู่” ไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาคุมผลประโยชน์มหาศาล
การไม่มี “สนธิรัตน์” ย่อมทำให้ “รมว.พลังงาน” ว่างลง โอกาสที่ตัวเองโยกมาคุมมีสูง “เสี่ยตั้น” ที่เคยหนุงหนิงกับ “สี่กุมาร” ก็เลยเอากับเขาด้วย
งานนี้ดูท่า ต่อให้โควิด-19 ซาก็ไม่ง่าย วันนี้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า “เฮียกวง” แข็งขนาดไหน เพราะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทีไร “บิ๊กตู่” เออออห่อหมกด้วยเสมอ
สถานะตอนนี้ “บิ๊กตู่” ยังเชื่อมือ “เฮียกวง” และเชื่อใจ “อุตตม-สนธิรัตน์” มากกว่านักการเมืองมืออาชีพ และหากเลือกได้ตั้งแต่แรก อยากทำงานกับคนที่มีฝีมือมากกว่าโควตา แต่เหตุเพราะเป็นรัฐบาลแบบเลือกตั้ง และเสียงที่ไม่ขาดของพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ทุกอย่างมีข้อจำกัดหมด
“บิ๊กตู่” เองอาจเปิดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ไว้ใจนักการเมืองเท่าไร เพราะกลัวจะทำเละ เลยพยายามเก็บ “มือทำงาน” เอาไว้
อีกอย่าง “เฮียกวง” นั้นมากคอนเนกชั่นในแวดวงธุรกิจ สามารถเจรจาต่อรอง ขอความร่วมมือได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นศูนย์กลางที่จะดึงภาคเอกชนมาช่วยหรือร่วมงานกับรัฐบาล “บิ๊กตู่” ย่อมต้องเห็นถึงประโยชน์ในมุมนี้
ศึกครั้งต่อไป เชื่อเลยว่า อีกฝั่งต้องเล้าโลมให้ “บิ๊กป้อม” เคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะการเปิดแผลให้เห็นว่า ทุกวันนี้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์เหมือนคน “ขาลอย” เหลือแต่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี จึงสมควรยึดพรรคพลังประชารัฐไว้ต่อรองในทางการเมือง
ทั้งที่ในความเป็นจริง “บิ๊กป้อม” ไม่ต้องเปลืองตัวมาเป็นหัวหน้าพรรค ทุกวันนี้ก็เป็น “เจ้าของพรรค” อยู่แล้ว
ซึ่ง “กลุ่มเฮียกวง” คงไม่ยอมถูกเลื่อยง่ายๆ ยิ่งตอนนี้มี “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” อย่าง “ก๊วนสามมิตร - ก๊วนผู้กองธรรมนัส” มาแพ็กรวมกันสู้
ดูท่าแล้วปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหน้า คงจะสู้กันหนักอีกตามเคย
เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น.