วันนี้...เห็นทีคงต้องมาว่ากันเรื่อง “จีนกับอเมริกา” กันต่ออีกสักหน่อย เพราะการกล่าวหา ด่าว่า ด่าทอ การออกอาวุธโต้ (ทางคำพูด) แบบชนิดดอกต่อดอก ระหว่าง 2 พี่เบิ้มแห่งโลกในช่วงนี้ ค่อนข้างจะดุเดือดเลือดพล่านอย่างเป็นพิเศษ จนทำให้บรรดา “กูรู-กูรู้” ในบ้านเราจำนวนไม่น้อย ชักเริ่มออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ขึ้นมามั่งแล้ว มองไปถึงขั้นอเมริกาอาจฉวยจังหวะ ฉวยโอกาส “ชักดาบหนี้จีน” หรือถึงขั้นบานปลาย ปลายบาน ไปถึง “สงครามโลกครั้งที่ 3” โน่นเลย...
แต่ถ้ามองกันแบบ “กูเองก็ยังไม่รู้” หรือแบบประเภท “ชาวบ้านๆ” อย่าง “ทับทิม พญาไท” เป็นต้น...เพียงแค่ประเทศเล็กๆ ในสวนหลังบ้านของอเมริกาแท้ๆ อย่างประเทศเวเนซุเอลา ก็เล่นเอาคุณพ่ออเมริกาหงายเงิบ หน้าแหกเป็นปลาริ้วแห้งกันเห็นๆ แม้ว่าโดยศักยภาพ โดยแสนยานุภาพทางทหารของคุณพ่ออเมริกา จะไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้ แต่การคิดจะบุก คิดจะใช้กำลังทหารเข้าปะทะแบบตรงไป-ตรงมา มันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” หรือไม่ถึงกับ “ปอกกล้วยเข้าปาก” กันสักเท่าไหร่นัก แผนการรัฐประหาร หรือแผนลอบสังหารประธานาธิบดีเวเนซุเอลา เลยต้อง “แห้วกระป๋อง” ต้องอับอายขายหน้า โดยเฉพาะเมื่อบรรดา “นักรบรับจ้าง” บางราย ถูกเปิดเผย “แหล่งกำเนิด” ว่ามีที่มาจาก “ห้องแล็บของทรัมป์บ้า” หรือมีฐานะเป็นอดีตหน่วยอารักขาความปลอดภัยของประธานาธิบดีอเมริกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ดังนั้น...สำหรับประเทศที่ใหญ่โตมหึมา ระดับมีจำนวนประชากรนับเป็นพันๆ ล้าน มีทหารประจำการอีกไม่รู้กี่ต่อกี่สิบล้าน มีเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินล่องหน มีเรือบรรทุกเครื่องบิน มีขีปนาวุธ “ตงเฟิง” ที่สามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ฯลฯ ฯลฯ โอกาสที่ผู้ซึ่ง “บ้า...ก็...บ้าวะ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” จะ “บ้าไปแล้ว” ถึงขั้นนั้น หรือถึงขั้นคิดเปิดศึก คิดปะทะกับจีนอย่างตรงไป-ตรงมา มันคงไม่น่าจะง่ายดายกันสักเท่าไหร่ แม้ว่าช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศบางราย อย่างเช่น สำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซีย จะอ้างถึงรายงานข่าวว่าด้วยสถาบันด้านนโยบายที่เก่าแก่ที่สุดของจีน คือ “China Institutes of Contemporary International Relations” ซึ่งได้ร่วมกับกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ นำเสนอเอกสารรายงานการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกาในช่วงระยะนี้ ให้ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” โดยระบุถึง “ความเป็นไปได้” ในการปะทะทางทหารโดยตรงระหว่าง 2 ประเทศ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ “หนึ่งในฉากสถานการณ์” ที่คงต้องไล่เรียงกันตั้งแต่ดีสุด ไปจนถึงเลวสุด ตามขั้นตอนปกติอะไรประมาณนั้น...
ความเป็นไปได้ในเรื่อง “สงครามระหว่างจีนกับอเมริกา” ช่วงนี้...จึงยังน่าจะอยู่ในระดับ “สงครามทางคำพูด” “สงครามการค้า” “สงครามเทคโนโลยี” หรือล่าสุด...อาจมี “สงครามทางการเงิน” เข้ามาเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายจีนเขาได้ประดิษฐ์คิดค้นระบบการเงินดิจิทัลที่เรียกกันย่อๆ ว่า “DCEP” (Digital Currency Electronic Payment) ขึ้นมาเป็น “โครงการนำร่อง” หรือนำไปใช้ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกันในระบบการค้า ระหว่างเมือง 4 เมืองใหญ่ คือ Shenzhen หรือเซินเจิ้น เมือง Suzhou หรือซูโจว เมือง Xiongan หรือสงอัน และเมือง Chengdu หรือเฉิงตู อันถือเป็นความพยายามที่จะเอามาสู้กับ “เงินดอลลาร์อเมริกัน” กันโดยเฉพาะ คือไม่ใช่แค่เงินดิจิตอล แบบประเภท “Bitcoin” หรือ “Cryptocurrency” โดยทั่วๆ ไปเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลา “ขุดเหมือง” ไม่ต้องควบคุมด้วย “ระบบขั้นตอนวิธี” (Algorithm) หรือระบบ “Blockchain” ของผู้หนึ่ง-ผู้ใด แต่โดยทางการจีน หรือรัฐบาลจีนเองนั่นแหละ ที่จะอาศัยระบบเหล่านี้เป็นตัวซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน และใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์อเมริกันโดยเด็ดขาด...
ส่วนฝ่ายอเมริกานั้น...นอกจากจะอาศัยคำพูด การค้า การเตะตัดขาทางเทคโนโลยี ก็คงไม่มีอะไรเพิ่มเติมเกินไปกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะในทางทหาร อย่างมาก...คงได้แต่แล่นเรือเฉียดไป เฉียดมาอยู่แถวหินโสโครก หรือแถวๆ เกาะปะการังในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ไปเป็นช่วง เป็นระยะ เพราะโดยสภาพของคุณพ่ออเมริกาในช่วงนี้ ต้องเรียกว่า...ถึงขั้นน่าจะจำเลขที่บ้านไม่ได้ หรือหาทางกลับเข้ามุมแทบไม่เจอ เฉพาะแค่การสู้กับเชื้อโรค อย่างเชื้อ “COVID-19” รายเดียว...ก็ตายแล้ว!!! คือไม่ใช่แค่ตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ หรือ 6 หมื่นกว่าๆ เกือบ 7 หมื่น สูงกว่าจำนวนทหารที่ตายไปใน “สงครามเวียดนาม” ซะอีก แต่โดยแนวโน้มที่อาจต้องตายเพิ่มในระดับเป็นแสนๆ ไม่ก็อาจเป็นล้านๆ ก็ชักเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจากการประมาณการโดยสถาบันการคำนวณและประเมินค่าด้านสุขภาพของประเทศอเมริกาเอง หรือสถาบัน “The Institute for Health Metrics and Evaluation” แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมื่อช่วงวันจันทร์ (4 เม.ย.) ที่ผ่านมา ที่สรุปไว้ว่า...โอกาสที่อเมริกันชน จะตายเพราะเชื้อโคโรนาไวรัส ที่ไม่ว่าจะเรียกว่า “เชื้อไวรัสอู่ฮั่น” หรือ “เชื้อ COVID-19” ก็แล้วแต่ ในระดับไม่น้อย 3,000 รายต่อวัน หรืออาจต้องตายกันไม่น้อยกว่า 95,092 ราย ไปจนถึง 243,890 ราย นับจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป หรือนับจากการยกเลิกมาตรการ “ล็อกดาวน์” ของรัฐต่างๆ ไม่น้อยกว่า 24 รัฐ จาก 50 รัฐ ยิ่งถ้าต้องยกเลิกมาตรการกำหนดระยะห่าง หรือ “Social Distancing” ควบคู่ไปด้วย โอกาสที่จะตายกันไปถึงระดับ 1.5-2.2 ล้านราย ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ อีกทั้งตัวเลขประมาณการที่ว่านี้ ว่ากันว่า...ไม่ได้ต่างไปจากตัวเลขประมาณการที่ “หลุด” หรือ “รั่ว” ออกมาจากทำเนียบขาว ซึ่งหนังสือพิมพ์ “The New York Times” ได้หยิบมานำเสนอเป็นรายงานข่าว ไว้อีกด้วยเช่นกัน...
เพียงเท่านี้...ก็แทบไม่เหลือเรี่ยว เหลือแรง เหลือสภาพที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ ยิ่งต้องเจอกับ “ตัวเลขคนว่างงาน” ที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 30.3 ล้านคนไปแล้ว ในช่วง ณ ขณะนี้ ชนิดต้องเรียกว่า...ถึงไม่ตายด้วยเชื้อโรค แต่ก็แทบไม่มีอะไรจะรับประแ-ก รับประทาน พอให้เกิดเรี่ยวแรง กำลังวังชาขึ้นมาได้เลย ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่รัฐบาลอเมริกัน กำลังคิดจะสู้ คิดปะทะกันอย่างจริงๆ-จังๆ จึงคงไม่ใช่การคิดสู้กับจีน หรือแม้แต่สู้กับเชื้อโรค แต่น่าจะเป็นการ “สู้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดี” ซึ่งกำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือแค่ประมาณ 6 เดือนนับจากนี้ นั่นแหละมากกว่า หรืออย่างที่หนังสือพิมพ์ “The Guardian” ของอังกฤษ เขาได้หยิบไปพาดไว้เป็นหัวข่าวนั่นแหละว่า... “US President gives up on virus fight to focus on economic recovery and re-election” หรือแพ้แล้ว...ไม่เอาแล้ว...ไม่สู้แล้ว!!! สำหรับการต่อสู้กับสงครามเชื้อโรค เหลือแต่ต้องหันมาสู้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่ ที่อาจพอมองเห็น “ชัยชนะ” ได้บ้างรางๆ โดยเฉพาะถ้าหากสามารถไปลากเอารัฐบาลจีน มาใช้เป็น “แพะ” เป็น “เหยื่อ” หรือเป็น “ผู้รับบาป” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อโรค เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม การออกอาการฟาดงวง ฟาดงา ไม่ว่าด้วยคำพูด การกระทำ หรือการแสดงออกต่างๆนานา จนบรรยากาศความตึงเครียดระหว่าง “จีนกับอเมริกา” เต็มไปด้วยความเร่าร้อน รุนแรง ชนิดใครต่อใครต้อง “หูแหก-ตาแหก” ตามไปด้วย ถึงขั้นกลัวจะเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” ไปโน่นเลย จึงต้องเป็นไปด้วยประการละฉะนี้...แล...