xs
xsm
sm
md
lg

การโจมตีห่วงโซ่อุปทานในจีน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท





อย่างที่ว่าไว้แล้วเมื่อวันวานนั่นแหละว่า...ความพยายามหาทางออก ทางไป ของคุณพ่ออเมริกา ด้วยการใช้พลังอำนาจทางทหารบุกประเทศเล็กๆ ที่อยู่แค่ “สวนหลังบ้าน” ของตัวเอง อย่างเวเนซุเอลาเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (3 เม.ย.) ที่ผ่านมา ที่ตัวประธานาธิบดีผู้มาจากการเลือกตั้งอย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” ท่านใช้คำเรียกว่า “แผนการลอบสังหารประธานาธิบดีเวเนซุเอลา” ยังดันประสบความล้มเหลว หรือยังต้อง “แห้วกระป๋อง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้...สำหรับประเทศที่ใหญ่โตระดับมหึมา หรือระดับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประเทศจีน คุณพ่ออเมริกาท่านคงไม่ถึงกับ “บ้า” พอที่จะใช้กรรมวิธีทำนองนี้อยู่แล้วแน่ๆ!!!

ดังนั้น...นอกจากแค่ป้วนๆ เปี้ยนๆ แล่นเรือฉวัดเฉวียนอยู่แถวๆ หินโสโครก หรือเกาะปะการังในทะเลจีนใต้ สิ่งที่คุณพ่ออเมริกาท่านพยายามงัดออกมาใช้รอบแล้ว รอบเล่า ก็คงหนีไม่พ้นไปจากอาศัย “สงครามการค้า” กันอีกนั่นแหละทั่น หรือใช้บรรยากาศการกล่าวหา การด่าว่า ด่าทอ ระหว่างอเมริกากับจีน ในเรื่องเชื้อไวรัส “COVID-19” ว่าหลุดมาจากแห่งหนตำบลไหนกันแน่ เรื่องการปกปิดข้อมูล หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เพื่อ “ปกปิดความล้มเหลว” ของรัฐบาลอเมริกา ในการรับมือกับเชื้อโรค จนต้องได้รับตำแหน่ง “จ้าวโรค” ไปแล้วในขณะนี้ มาใช้เป็นตัวสร้างความตึงเครียด หรือการเผชิญหน้าทางการค้า จนส่งผลให้ “ตลาดหุ้น” ทั่วทั้งโลกสลบไสลกันไปเป็นแถบๆ...

เรียกว่า...เล่นเอาตลาดหุ้นเอเชียทั้งเอเชียร่วงกันไปเป็นแผงๆ ไม่ว่าตลาดหุ้นฮ่องกงที่ลดลงไปประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อช่วงวันจันทร์ (4 เม.ย.) ที่ผ่านมา จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ลดลงไปประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ อินเดีย 5 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงตลาดหุ้นออสเตรเลียยังหนีไม่พ้นต้องหะรอมหะแรมลงไปประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์จนได้ ไม่ต่างไปจากตลาดหุ้นยุโรป CAC ของฝรั่งเศสลดลงไป 4 เปอร์เซ็นต์ DAX ของเยอรมนีร่วงไป 3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตลาดหุ้นลอนดอน ลดลงไป 2 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ โดยสรุปรวมความว่า ล้วนมีที่มาจากความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ที่ทำท่าว่ากำลังหวนคืนกลับมาใหม่ ในชนิดอาจหนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า...

คือไม่ใช่แค่การงัดเอาเรื่อง “ภาษีการค้า” หรือ “อัตราภาษีศุลกากร” มาเกทับ บลัฟแหลก แก้แค้น เอาคืน แบบก่อนๆ แต่อาจถึงขั้นเตรียมฉีกกระชาก ลาก ทึ้ง ต่อสิ่งที่เรียกๆกันว่า “ห่วงโซ่อุปทาน” หรือ “Supply Chains” ที่วางกองอยู่ในเมืองจีน และทำให้ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็น “โรงงานของโลก” มาโดยตลอด ให้หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ให้จงได้!!! หรือถ้าว่ากันตามคำบอกกล่าว คำให้สัมภาษณ์ของปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมของอเมริกา อย่าง “นายคีธ แครช” (Keith Krach) ต่อสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมา ก็คือ...ความพยายามที่จะลดการพึ่งพา หรือการดึงการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ของสินค้าประเภทต่างๆ กลับมาสู่ประเทศตัวเอง อย่างที่เรียกๆ เป็นภาษาปะกิตว่า “Reshoring of Supply Chains” อะไรประมาณนั้น ที่ไม่เพียงแต่ถือเป็นแนวทาง ทิศทางของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังถือเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่จะต้อง “ติดเทอร์โบ” ให้กับทิศทางและแนวทางเช่นนี้ ให้หนักหน่วง หรือหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก...

โดยไม่ใช่แต่จะอาศัยมาตรการทางภาษี การแซงชั่น หรือการสร้างแรงจูงใจให้บรรดาบริษัทอเมริกันหันมาฉุดกระชากลากโซ่ออกมาจากประเทศจีน กลับมาสร้างโซ่ภายในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ยังพยายามสร้าง “เครือข่าย” เพื่อให้เกิดห่วงโซ่ใหม่ๆ ที่จะร้อยรัด เชื่อมโยง บรรดาประเทศที่ถือเป็น “พันธมิตร” อเมริกาทั้งหลาย ไม่ว่าออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ เวียดนาม ฯลฯ ให้กลายเป็นเครือข่ายที่เรียกว่า “Economic Prosperity Network” หรือเครือข่ายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อะไรทำนองนั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...ความพยายาม “แบ่งโลก” ออกไปเป็นฝ่ายๆ แบบเดียวกับ “โลกคอมมิวนิสต์” กับ “โลกเสรี” ในช่วงยุค “สงครามเย็น” นั่นเอง โดยอาศัยความรู้สึกไม่มั่นคง ปลอดภัย หรือ “ความเสี่ยง” อันเกิดจากความเป็นไปของโลกยุค “โลกาภิวัตน์” ที่ทำให้เกิดการไหลไป-ไหลมาของ “ทุน” การกระจายแหล่งผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่มีแรงงานราคาถูก ที่เอื้ออำนวยต่อการทำกำไร อันส่งผลให้เกิดภาวะที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ปิดฉากโลกาภิวัตน์” เพื่อกลับมาเริ่มต้น “เปิดฉากสงครามเย็นยุคใหม่” นั่นแล...

ส่วนใครบ้างที่คิดจะย้อนยุค หรือ “หลงยุค” ตามทิศทาง แนวทางของรัฐบาลอเมริกันในลักษณะที่ว่านี้ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องคอยเฝ้าติดตามกันไปเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ที่ว่ากันว่ารัฐบาล “นายชินโซะ อาเบะ” ถึงกับยอมควักเม็ดเงิน มูลค่าถึง 23,500 ล้านเยน หรือ 7,118 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตจากจีน ไปยังประเทศไหนก็ได้ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ญี่ปุ่นพยายามแผ่บทบาท อิทธิพล แซงหน้า แซงหลัง ควบคู่ไปกับจีนมาโดยตลอด หรือจะเป็นประเทศในยุโรป ที่กำลังถูกกด ถูกบีบ ให้ต้องเลือกข้าง เลือกฝ่าย ชนิดหาพื้นที่เป็นกลางแทบไม่ได้ ไปจนถึงอินตะระเดียที่พร้อมจะเป็นเครือข่ายรองรับความมั่งคั่งจากใครก็ย่อมได้ ขอเพียงแต่ให้จ๋านโตขึ้นๆ หรือโตพอที่จะไล่ตามจีนให้ทันนะนายจ๋า...

แต่สำหรับ “บริษัทธุรกิจอเมริกัน” ที่ไปแสวงหาตลาด และแสวงหาแรงงานราคาถูก หรือไปสร้างห่วงโซ่อุปทานอยู่ในประเทศจีนทุกวันนี้ ถ้าว่ากันตามโพลหรือตามผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักวิจัย “AmCham Poll” คราวล่าสุด จากจำนวนบริษัทประมาณ 250 บริษัท มีอยู่แค่ไม่ถึง 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ที่คิดจะย้ายฐานการผลิตกลับไปสู่ประเทศอเมริกา 35 เปอร์เซ็นต์ไม่คิดจะย้าย หรือยังอยากปักหลักสร้างโซ่ ร้อยโซ่ กันต่อไป ส่วนอีก 40 เปอร์เซ็นต์อยู่ในช่วงระหว่างการตัดสินใจ การใคร่ครวญพิจารณา ว่าควรจะออกลูกไหนถึงจะทำกำไรได้มากกว่า ดีกว่า เพราะการย้ายฐานการผลิตกลับสู่ประเทศอเมริกานั้น ก็อาจหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “ความเสี่ยง” ที่หนักหนาสาหัส ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะความถดถอยทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สิน การขาดดุลงบประมาณ ภาวะเงินเฟ้อ การตกต่ำของเงินดอลลาร์ระดับใกล้ๆ ถึงขั้น “ฟองสบู่แตก” กันในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ฯลฯ...

อย่างไรก็ตาม...โดยสรุปรวมความแล้ว การหันมาอาศัย “สงครามทางการค้า” กับประเทศจีน แทนที่จะใช้ “สงครามอาวุธ” อย่างที่ได้กระทำต่อประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา ก็ใช่ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมาย หรือประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในเมื่อโลกทั้งโลกไปไกลเกินกว่าจะย้อนยุค-ย้อนสมัย หรือย้อนกลับไปสู่ “ยุคสงครามเย็น” ได้อีกต่อไป เพราะแม้แต่คุณปู่ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกายุคสมัยสงครามเย็นยังคงร้อนๆ ระดับใกล้จะถึงขีดสุด ท่านเคยออกมาเตือนเอาไว้นั่นแหละว่า...แม้ว่าโรคระบาดอย่าง “COVID-19” อาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปแบบผิดยุค ผิดสมัย (Anachronism) แต่โดยภาระหน้าที่ผู้นำอเมริกา หรือผู้นำแห่งโลกประชาธิปไตย มีแต่ต้องหันมาปกป้องคุณค่าแห่งเสรีภาพ การเปิดกว้าง การรู้แจ้งทางปัญญา ตลอดไปจนการเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระของผู้คน อันเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งทางการค้าให้กับโลกทั้งโลก ไม่ใช่การฟื้นฟูกำแพงเมือง ฟื้นลัทธิปกป้องกีดกันทางการค้า ที่มีแต่จะนำมาซึ่งความ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ไปด้วยกันทั้งโลก...
กำลังโหลดความคิดเห็น