เป็นคำเตือนจากจิ้งจกตัวโตๆ เป็นบุคคลที่ได้รับความน่าเชื่อถือ จากผลงานหรือการพูดความจริงมาตลอด
ศาสตราจารย์พอล ครุกแมน ซึ่งมีรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เป็นประกัน ได้ยอมเปิดโอกาสให้รายการทีวีต่างๆ สัมภาษณ์ไม่เว้นแต่ละวัน นอกเหนือไปจากบทความที่เขียนวิเคราะห์ประจำในนสพ.นิวยอร์ก ไทม์ส
ท่านบอกว่า มันบ้ากันใหญ่แล้ว “Crazy” ถ้าจะรีบเปิดประเทศกลับมาสู่ชีวิตตามปกติ
เป็นคำเตือนต่อท่านประธานาธิบดีทรัมป์ ที่คันไม้คันมืออยากให้ทุกๆ รัฐของสหรัฐฯ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ในการรีบเดินเคลื่อนเต็มที่ตามโรงงานต่างๆ รวมทั้งภาคเศรษฐกิจใหญ่ของสหรัฐฯ คือ ภาคบริการ ซึ่งได้แก่ธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจกีฬา, ธุรกิจบันเทิง (คอนเสิร์ต การแสดงละคร) รวมทั้งธุรกิจสวนสนุก (เช่น ดิสนีแลนด์) และหาดทรายทองทั้งสองฟากฝั่งของสหรัฐฯ โดยเฉพาะที่ลอสแองเจลิส และที่ฟลอริดา
ทรัมป์ต้องตะลึงเมื่อตลาดหุ้นที่วอลล์สตรีทดิ่งลงมาวันละ 1-2 พันจุด ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเริ่มมีจำนวนคนอเมริกันที่รัฐวอชิงตันได้ตายลง (ในบ้านพักคนชรา) และเริ่มลามมาถึงรัฐแคลิฟอร์เนีย และออเรกอน
นั่นคือ สัญญาณร้ายที่จะทำให้แผนการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นวาระที่สองต้องหลุดลอยไป...เพราะเขาพร่ำตอกย้ำว่าเขาเป็นผู้เก่งกล้ากว่าทุกๆ ประธานาธิบดีในอดีต ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทำลายสถิติครั้งแล้วครั้งเล่า...แทบทุกสัปดาห์ใน 3 ปีที่ดำรงตำแหน่ง และได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่กองทุนต่างๆ (ที่ครัวเรือนอเมริกันถืออยู่)
ทรัมป์ประกาศช่วงต้นเมษาฯ ว่า เขาจะ “สั่ง” (ด้วยอำนาจสูงสุดของเขา) ให้ทุกรัฐกลับมาเปิดสวิตช์เดินเครื่องเปิดเมือง, เปิดประเทศให้กลับสู่ปกติ ในวันจันทร์ที่ 13 เมษายน อันเป็นวันแรกหลังเทศกาลอีสเตอร์ เพราะชีวิตใหม่จะต้องกลับคืนมา
อาจจะเป็นเพราะจีนประกาศเปิดเมืองอู่ฮั่นในวัน (พุธ) ที่ 8 เมษายน (ตามสไตล์ของจีนที่ชอบเลข 8 เป็นมงคล)...หลังจากได้ทดลองเปิดมณฑลหูเป่ยก่อน (แต่ยังปิดเมืองอู่ฮั่นไว้)
เพราะจีนเขาได้ปิดสวิตช์เป็น Lock Down อย่างจริงๆ จังๆ คือ ให้ทุกคนต้องอยู่กับบ้านจริงๆ ไม่มีการออกมานอกบ้านเลยถึง 76 วัน (2 เดือนครึ่ง) ซึ่งในช่วงอาทิตย์แรกๆ...แม้แต่จะออกมาซื้ออาหารก็ไม่จำเป็น เนื่องจากเพิ่งเปิดเผยในวันนี้เองว่า ทางการจีนที่ปักกิ่งได้เตรียมการสำหรับการปิดเมืองอู่ฮั่น (และเมืองอื่นๆ คือ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ ที่ได้ทยอยปิด) โดยมีแผนการอย่างแน่วแน่ และได้แจ้งให้กับผู้คนได้เตรียมตัวก่อนถึง 6 วัน
แล้วเมื่อถึง 23 มกราคม ก็ประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นเด็ดขาด...ท่ามกลางการเตรียมอพยพเคลื่อนย้ายประชากรใหญ่สุดของโลก...นั่นคือ ช่วงตรุษจีน...ซึ่งถ้าจีนไม่เด็ดขาดปิดสวิตช์เช่นนี้...เขาจะไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ดีเยี่ยม จนสามารถเปิดเมืองได้ในวันที่ 8 เมษายน!
ศ.ครุกแมน ยังได้ย้ำว่า ไม่ต้องไปตกใจที่จีดีพีจะหดตัว อาจเลวร้ายกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis-ปี 2008/09) ด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้ก็เห็นชัดว่า อเมริกาตกงานใน 3 อาทิตย์สูงถึงเกือบ 17 ล้านคน ซึ่งช่วง 2008-09 นั้นตกงานแค่ 15 ล้านคน...และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ อาจขึ้นไปสูงถึง 20-30% ก็จะพอๆ กับช่วง The Great Depression หรือช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกนั่นเอง
ครุกแมน เน้นว่า ไม่ต้องไปห่วงตลาดวอลล์สตรีท เพราะมันไม่ใช่ของจริง...ของจริงคือ ชีวิตของคนที่จะต้องพยุงทำให้คนมีชีวิตรอดได้ ยามที่ธุรกิจได้ถูกปิดสวิตช์ลงแบบนี้ เพราะมาตรการแยกกันอยู่ (Social Distancing) เป็นวิธีที่ดีที่สุดขณะนี้สำหรับการหยุดการระบาดใหญ่...จนกว่าวัคซีนจะค้นพบ (ใช้เวลาก็เกือบ 1 ปีต่อจากนี้)...และนี่จึงทำให้คนต้องอยู่กับบ้าน...อยู่ในสภาพตกงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแจกเงินให้ทุกคนมีอาหารมาเลี้ยง และผ่อนผัน (ผ่านสถาบันการเงิน) เรื่องการชำระ ทั้งค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำ ค่าไฟ, ค่าผ่อนบ้าน/รถ
ครุกแมน บอกว่า มาตรการค้ำจุนชีวิตยามวิกฤตนี้ ต้องไม่เรียกว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulus Package) เพราะมันไม่ใช่เวลามากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น กองทุนพยุงหุ้น หรือแจกเงินคนให้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่, รถยนต์ใหม่, บ้านใหม่ (หลังที่ 2 ที่ 3) แต่เป็นเงินที่มาช่วยพยุงให้ต่อชีวิตคนให้อยู่รอดไปในแต่ละวัน จะต้องเรียกว่า Disaster Relief Fund
ซึ่งสภาสหรัฐฯ เพิ่งผ่านงบมหาศาลถึง 2 ล้านล้านเหรียญ (ประมาณ 60 ล้านล้านบาท) และ ¼ ของงบยักษ์นี้ก็ให้แก่ภาคธุรกิจ เพื่อให้เหล่าสถาบันการเงินได้ส่งต่อไปยังอุตสาหกรรมยักษ์ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน, โรงแรม และธุรกิจขนาดเล็กพวกร้านอาหาร เป็นต้น
ไม่เพียงครุกแมนที่ออกมาส่งเสียงไม่ให้ทรัมป์รีบเปิดสวิตช์เมืองให้ฟื้นคืนชีพ แต่อดีตรมต.คลัง (สมัยคลินตัน) และอดีตอธิการบดีฮาร์วาร์ดคือ ศ.Lawrence Summers และ Bill Gates และคุณหมอAnthony Fauci (รวมทั้งผู้ว่าการรัฐจำนวนมากของสหรัฐฯ) ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาบอกว่า ถ้ารีบเปิดขณะที่ยัง Test แยกคนติดเชื้อยังทำไม่หมด (แบบที่จีนเขาพยายามทำอยู่ ด้วย Code ว่าใครผ่านการติดเชื้อหรือยังมีเชื้ออยู่) ก็น่ากลัวว่า เศรษฐกิจจะยิ่งพังย่อยยับเมื่อเปิดสวิตช์แล้ว คนที่เป็น Carriers หรือตัวนำเชื้อโรค จะยิ่งแพร่เชื้อไปตามโรงงานหรือกิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมด คราวนี้อาการเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดหนักกว่าก่อน Lock Down อีกด้วย…หรือทรัมป์จะมีมือเปื้อนเลือดอีกครั้ง!
มีตัวอย่างที่กำลังศึกษากันอยู่ขณะนี้คือ ที่สิงคโปร์ ซึ่งกลับมาเปิดสวิตช์อีกที ก็มีคนติดเชื้อ (ที่มาจากต่างประเทศ) เพิ่มพรวดพราดขึ้นมา จนต้องมารีบ Lock Down กันเป็นครั้งที่สอง
รวมทั้งที่ญี่ปุ่น ที่เก้ๆ กังๆ...ลักปิดลักเปิด คือ ทำแค่ Partial Lock Down เช่น ปิดแค่โรงเรียน พร้อมออก Guideline ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎการแยกกันอยู่ (Social Distancing)...ปรากฏว่า จำนวนผู้ติดเชื้อและคนตายเริ่มพุ่งสูง...จนต้องประกาศ Lock Down เต็มที่อีกครั้ง
และที่อังกฤษ ก็หักมุม 180 องศา เปลี่ยนนโยบายแทบไม่ทัน เมื่อทำแบบทีเล่นทีจริง ไม่ยอมปิดสวิตช์ จนคนติดเชื้อและตายพุ่งสูงขนาดนายกฯ บอริส จอห์นสัน ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด-ถึงได้ประกาศปิดสวิตช์เด็ดขาด และยังต่ออายุการ Lock Down ไปอีกจนกว่าจะควบคุมการระบาดให้ได้ผลเต็มที่เสียก่อน
และการทยอยค่อยๆ เปิดสวิตช์ทีละน้อยๆ อย่างที่หลายประเทศกำลังทดสอบทำอยู่ ทั้งที่เดนมาร์ก, เยอรมนี, สเปน, อิตาลี และที่จีนก็น่าจะเป็นตัวอย่างติดตามดูผลว่าจะเป็นอย่างไร