ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องชวนมาพูดคุยเรื่องเงินๆ-ทองๆ หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” กันอีกนั่นแหละทั่น เพราะเรื่องของโคโรนาไวรัสหรือเชื้อ “COVID-19” นั้น อาจพอเริ่ม “เอาอยู่” ขึ้นมามั่งแล้ว ด้วยจำนวนตัวเลขคนติดเชื้อ คนตายในบ้านเรา ที่เริ่มลดลงอย่างมี “นัยสำคัญ” หรือกระทั่งระดับโลกที่แม้ยังตาย ยังติดเชื้อกันอีกเยอะ แต่โดยส่วนใหญ่...ว่ากันว่า น่าจะเลย “จุดพีค” หรือจุดสูงสุดกันไปแล้ว ในหลายต่อหลายประเทศ แม้แต่ประเทศ “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาก็ตาม...
แต่สำหรับสิ่งที่กำลังตามมา...คือเรื่อง “เศรษฐกิจ” หรือเรื่องเงินๆ-ทองๆ นี่สิ เผลอๆ...อาจน่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพองไม่น้อยกว่าเชื้อ “COVID-19” เอาเลยก็ไม่แน่!!! เฉพาะแค่บ้านเรา...ที่รัฐบาลทั่นอุตส่าห์ควักเงินในเก๊ะออกมาระดับนับ “ล้านล้านบาท” แค่เฉพาะ “เยียวยา” เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นคิด “ฟื้นฟู” อะไรมากมาย แต่ท่าทางชักจะ “เอาไม่อยู่” ขึ้นมามั่งแล้ว คือเยียวยาให้กับผู้คนได้สักประมาณ 9 ล้านราย ส่วนอีก 14-15 ล้านราย ที่ยังไม่ได้เงิน เลยเริ่มแห่ไป “บุกกระทรวงการคลัง” อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย อันเนื่องมาจากเรื่องเงินๆ-ทองๆ ที่กำลังทยอยตามมาแบบติดๆ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
และคงไม่ใช่แต่เฉพาะบ้านเราเท่านั้น...ต้องเรียกว่าโลกทั้งโลกเอาเลยนั่นแหละทั่น ที่กำลังหวนกลับไปสู่ “ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ” แบบชนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือต่ำซะยิ่งกว่ายุค “วิกฤตเศรษฐกิจปี ค.ศ. 2008-2009” ที่เรียกๆ กันว่า “วิกฤตการเงินโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่นั่งนึก นั่งจินตนาการกันไปเอง แต่ระดับองค์กรการเงินระหว่างประเทศ อย่าง “IMF” เองนั่นแหละ ต้องงัดเอาสถิติ ข้อมูล การวิจัย ออกมาเป็นข้อพิสูจน์ หลักฐาน ยืนยัน เอาไว้แบบชัดๆ จะจะ เมื่อช่วงวันอังคาร (14 เม.ย.) ที่ผ่านมา ตามคำแถลงจากรายงานของผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย “IMF” “นางGita Gopinath” ที่สรุปไว้ว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กำลังตามมา เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” คราวนี้ ได้มาแรง แซงโค้ง แซงหน้าวิกฤตเศรษฐกิจปี ค.ศ. 2008-2009 ไปเรียบร้อยแล้ว หรือขณะที่วิกฤตการเงินโลกช่วงนั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกหรือ “จีดีพีโลก” ลดไปแค่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่โอกาสที่วิกฤตเชื้อไวรัสคราวนี้ จะทำให้ “จีดีพีโลก” อาจลดลงไปถึง 3 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หรืออาจถึง 5 ไปจนถึง 8 เปอร์เซ็นต์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย...
พูดง่ายๆ ว่า...จากที่ “IMF” เขาเคยคาดๆ เคยพยากรณ์ตัวเลขไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ว่าจีดีพีโลกปี ค.ศ. 2020 น่าจะโตอยู่สักประมาณ 3.3-3.4 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ถ้าหากดันต้องลดลงไปถึง 3 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับต้อง “Zero Growth” หรือต้อง “โตเท่ากับศูนย์” เอาเลยก็ไม่แน่ ยิ่งถ้าหากต้องลดลงไป 5 เปอร์เซ็นต์ 8 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับต้อง “ติดลบ” กันไปทั่วทั้งโลก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และนั่นเอง...ที่ทำให้ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ไปจนถึงระดับผู้อำนวยการบริหาร “IMF” อย่าง “นางKristalina Georgieva” ท่านถึงต้องนำเอาแนวโน้มความเป็นไปทางเศรษฐกิจในช่วงอนาคตอันใกล้ มาเทียบเคียงกับความเป็นไปของวิกฤตเศรษฐกิจยุคอดีตเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว หรือ “วิกฤตปี ค.ศ.1930” ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “The Great Depression” นั่นแล...
คือในยุค “The Great Depression” นั้น...ว่ากันว่า ส่งผลให้ “จีดีพีโลก” หดวูบไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1929-1932 การทำมาค้าขายของโลกทั้งโลก หายไป 50 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขคนว่างงานในประเทศที่สุดแสนจะมั่งคั่งร่ำรวยอย่างอเมริกา พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 23-33 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ ดังนั้น...แม้ว่าภาพของ “ผลกระทบ” จากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสคราวนี้ อาจไม่ถึงกับชัดเจน สามารถถอดรูท ถอดสมการออกมาเป็น “ตัวเลข” แบบจะจะจังๆ แต่แนวโน้มที่ตัวเลขการว่างงานของผู้คนในประเทศอเมริกา ที่ว่ากันว่า...อาจทะลุพรวดๆ พราดๆ ไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ถ้าว่ากันตามการประเมินของผู้บริหารธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาเซนต์หลุยส์เอง อย่าง “นายJames Bullard” ตัวเลขที่ว่ามันยิ่งทำให้ภาพของผลกระทบทางเศรษฐกิจคราวนี้ ไม่น่าจะน้อยไปกว่ายุค “The Great Depression” มากมายสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อบรรดาการประกอบการเศรษฐกิจ ธุรกิจทั้งหลาย ต่างต้องตกอยู่ภาวะที่เรียกๆ กันว่า “The Great Lockdown” กันไปในระดับทั่วทั้งโลก และยังแทบไม่รู้ว่าจะต้อง “ล็อก” กันไปอีกนานถึงขั้นไหน???
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่มันทำให้ภาพของ “The Great Depression” เริ่มหวนกลับมาหลอกหลอน บรรดาพวกที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเงินๆ-ทองๆ ทั้งหลาย ชนิด “หลับไม่ลง” กันไปเป็นรายๆ และการใส่เงิน ใส่ทอง หรือการอัดๆ ฉีดๆ เงินๆ ทองๆ เข้าไปในระบบ ก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดูดีขึ้นมามากมาย เรียกว่า...ขนาดรัฐบาลแทบทั้งโลก อัดเงินเข้าไปเยียวยาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศตัวเอง ไม่น้อยกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ ไปแล้วเป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 240 ล้านล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ในสายตาของผู้บริหาร “IMF” อย่าง “นางKristalina Georgieva” ก็ยังรู้สึกว่า “น้อยเกินไป” หรือยังไม่พออีกจนได้ ไม่ต่างไปจากนักการเงิน หรือที่เรียกๆ กันว่า “พ่อมดการเงิน” อย่าง “นายจอร์จ โซรอส” (George Soros) นั่นแหละ ที่ถึงขั้นต้องออกมาไล่เรียงรายละเอียดไว้ในข้อเขียน บทความ ผ่านหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทมส์ เมื่อช่วงวันจันทร์ (13 เม.ย.) ที่ผ่านมา ว่าการพิมพ์เงินและอัดฉีดเงินประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลอเมริกัน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอเมริกาเพื่อเยียวยา ฟื้นฟู ใครต่อใครนั้น ก็ยังคง “ไม่พอ” อยู่ดีอีกนั่นแหละ แถมยังเสนอเอาไว้ด้วยว่า ไม่ใช่แค่ต้องขึ้น “เฮลิคอปเตอร์” เพื่อแจกเงิน โปรยเงิน ให้กับชาวอเมริกันเพียงแค่ 60 ล้านคนเท่านั้น แต่คงต้องขึ้น “เครื่องบินทิ้งระเบิด” เพื่อโปรยเงินให้กับชาวอเมริกันไม่น้อยกว่า 152 ล้านคน เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหันไปใช้วิธีแบบ “จอร์จ โซรอส” โอกาสที่จะเกิดสิ่งที่นักวิเคราะห์การเงินอีกราย อย่าง “นายMark Yusko” แห่งบริษัท “Morgan Creek Capital” สรุปไว้สั้นๆ ง่ายๆ กับรายการวิเคราะห์ของสำนักข่าว “RT” ประมาณว่า “We’ve turned the dollar into toilet paper” หรือ “เรากำลังเปลี่ยนเงินดอลลาร์ให้กลายเป็นกระดาษเช็ดก้น” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
สรุปรวมความแล้ว...เรื่องของเงินๆ-ทองๆ หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” จึงเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง ไม่น้อยไปกว่าเรื่องเชื้อโคโรนาไวรัส หรือเผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะถ้ามองถึง “บทสรุป” หรือสิ่งที่ทำให้เกิดการหา “ทางออก” หรือ “ทางรอด” จากภาวะดังกล่าว ของบรรดาประเทศต่างๆ ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว ว่ากันว่า...เป็นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจระดับ “The Great Depression” นี่เอง ที่ทำให้เกิดการจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 2” ตามมาในอีกไม่กี่ปีนับจากนั้น แม้ว่าจะส่งผลให้พลโลก ต้องเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไม่น้อยกว่า 70-85 ล้านคน เป็นอย่างน้อย แต่ก็ถือเป็นตัวที่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจอย่างคุณพ่อเมริกา สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม...
ดังนั้น...คงต้องคอยจับตาอย่างชนิดมิอาจกะพริบตาต่อไปนั่นแหละว่า อาการหันรี-หันขวาง หูตั้ง หางตก น้ำลายฟูมปาก ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาทุกวันนี้ ไม่ว่าการประกาศตัดเงินช่วยเหลือ “WHO” ด้วยข้อหา “อวยจีน” การที่ระดับประธานเสนาธิการทหาร นายพล “Mark Milly” แห่งเพนตากอน ออกประกาศว่ากำลังตรวจสอบอย่างหนัก ถึงต้นกำเนิดเชื้อโคโรนาไวรัส ว่าอาจหลุดออกมาจาก “ห้องแล็บ” ในเมืองอู่ฮั่นหรือไม่??? สิ่งเหล่านี้...มันจะนำไปสู่อะไรกันต่อไป ส่วนประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครเขาด้วยเลย ก็ใช่ว่าจะอยู่กันไปได้แบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เพราะถ้าย้อนกลับไปมองถึงบทสรุปในอดีต หรือในยุคการมาถึงของ “The Great Depression” ก็เป็นที่รับรู้ รับทราบกันโดยชัดเจน ว่าอีกแค่ 2 ปีหลังจากนั้น หรือในปี ค.ศ. 1932 ก็ตามมาด้วยฉากเหตุการณ์ “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง” จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบพายเรือในอ่าง กันเป็นศตวรรษๆ นั่นแล...