ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เฮกันลั่นทุ่ง
หลังตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ “ศบค.” ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมอบหมายให้ข้าราชการประจำระดับ “ปลัดกระทรวง” เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจแต่ละด้านๆ ขึ้นตรงกับนายกฯ ที่เป็นประธานศูนย์ฯ ก็เลยมีคำถามว่า เหตุใดถึงไม่ให้ “รัฐมนตรีว่าการ” เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ
ฟังขึ้นว่าเป็นเพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่าหัวหน้าผู้รับผิดชอบต้องเป็น “ข้าราชการประจำ” เท่านั้น
แต่ก็หลีกไม่พ้นถูกวิพากษ์ว่าเป็นหมากเขี่ย “นักเลือกตั้ง” ออกจากวงจรการแก้ไขวิกฤตโควิด-19 หรือเปล่า
นำมาซึ่งเสียงเฮของคนที่เซ็ง “ฝ่าายการเมือง” โดยเฉพาะกลไกสำคัญในการดูแลความเดือดร้อนของประชาชนอย่าง “กระทรวงพาณิชย์” ที่มี “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกฯเป็น รมว.พาณิชย์ อยู่
ที่ถูกมองเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาล
กรณีของ กระทรวงพาณิชย์ ไม่เพียงถูกมองว่าทำงานไร้ประสิทธิภาพในการดูแลสินค้าที่จำเป็นในยามวิกฤต และยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “คนประชาธิปัตย์” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการกักตุน และจำหน่ายสินค้าราคาแพง ทั้งหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ หรือสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ผู้คนแตกตื่นไปซื้อกักตุน ท่ามกลางกระแสข่าวจะปิดประเทศ-ปิดจังหวัด
โดยเฉพาะ “หน้ากากอนามัย” ที่ดรามายังไม่สร่างซา แม้คนในข่าวอย่าง “เจ๊ติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ จะออกมาแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์ และประกาศดำเนินคดีกับบุคคลภายนอกที่กล่าวหา แล้วก็ตาม
ข้อกล่าวหาที่ดูเบาหวิว ก็มีน้ำหนักขึ้นเมื่อคนในพรรคประชาธิปัตย์ รายของ “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ลากเข้าไปล่อกันเองในไลน์กลุ่ม ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่เผอิญ (ตั้งใจ) หลุด มาถึงมือนักข่าว เรียกร้องแรงๆให้ปลด “มัลลิกา” ออกจากที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ จนกว่าจะมีการตรวจสอบให้สิ้นสงสัย ซึ่งต้องบอกว่านักกฎหมายอย่าง “เทพไท” คงไม่ทะเล่อทะล่าไปกล่าวหาใครมั่วซั่ว
อาจจะมองไม่ผิดว่า เป็นเรื่อง “การเมืองในพรรค” ที่ “เทพไท” ที่มีเงาตะคุ่มๆของ “จารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค อยู่ข้างหลัง หวังให้กระเทือนไปถึง “จุรินทร์” หัวหน้าพรรค ที่เป็น รมว.พาณิชย์
ที่สุด “จ่าฝูงค่ายสีฟ้า” ก็แค่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยไม่ได้แตะต้องตำแหน่งทางการเมืองของ “เจ๊ติ่ง” ที่ตัวเองเป็นผู้แต่งตั้งแม้แต่น้อย
ตอกย้ำให้เห็นถึงภาวะขาดแคลน “มาตรฐาน” ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่หนักเสียยิ่งกว่า “หน้ากากอนามัย” ขาดแคลนในตลาดเสียอีก
ทว่ามี “ชุดข้อมูล” ที่ว่ามียอดส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศ ช่วงเดือน ม.ค.63 ที่ “158 ตัน” และช่วงเดือน ก.พ.63 ที่ “187 ตัน” ที่ต้องให้ความเป็นธรรมว่า การส่งออกส่วนใหญ่เป็นการส่งออกก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะประกาศควบคุมการส่งออกหน้าอนามัย
ในรายละเอียดมี “นัย” ที่น่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขการส่งออก 2 เดือนแรกของปี 63 ที่พบว่า เดือน ก.พ.ที่เข้าช่วงวิกฤตโควิด-19 และมีการควบคุมการส่งออก กลับมีจำนวนส่งออกมากกว่าเดือน ม.ค.
เหลือเชื่อว่าทั้งที่มีประกาศควบคุมแล้ว และคนไทยคนไทยหาซื้อไม่ได้แล้ว กระทรวงพาณิชย์ยังปล่อยให้มีการส่งออก ด้วย “ข้ออ้าง” อะไรก็ตามแต่ ระหว่างควบคุมวันที่ 5-20 ส่งออก 12.7 ตัน และช่วงวันที่ 21-29 ก.พ.ที่คนไทยซื้อไม่ได้แล้ว ยังส่งออกไปอีก 38 ตัน
สำคัญกว่าคือช่วงระหว่างวันที่ 1-4 ก.พ. ก่อนมีการประกาศควบคุมในวันที่ 4 ก.พ. มีปริมาณส่งออกหน้ากากอนามัยถึง “135 ตัน” เกือบเท่าทั้งเดือน ม.ค.ที่ส่งออกรวม “158 ตัน”
มองในแง่ดี เนื่องจากทั่วโลกเผชิญวิกฤตโควิด-19 ที่ร้ายแรงกว่าในประเทศไทย จึงมีปริมาณความต้องการสูง
มองกลับกัน อาจจะมี “บางคน” รู้ “ข้อมูลอินไซด์” ว่าจะมีการประกาศควบคุมการส่งออก จึงเร่งส่งออกไปนอกประเทศเพื่อปั้นราคาหรือเปล่า
สำคัญที่ปัจจุบันหน้ากากอนามัยที่ขายกันเกินราคา ตั้งแต่ 15-25 บาทต่อชิ้น เกรดเดียวกับที่รัฐบาลกำหนดให้จำหน่ายไม่เกิน 2.5 บาทนั้น ทะลักเข้ามาจาก “ประเทศเพื่อนบ้าน” ที่เห็นดาษดื่นก็มาจาก “เวียดนาม”
“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง” จากคนในวงการมองขาดว่า เป็นขบวนการส่งสินค้าออกไปนอกประเทศ และทำแพคเกจใหม่ตีแบรนด์ต่างประเทศ ก่อนลักลอบนำกลับเข้ามาขายในราคา
เป็น “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง” เดียวกับที่ระบุถึง “แก๊งตุนแมสก์” ถือ “ตราตั้ง” จาก “นักการเมือง” ไปป้วนเปี้ยนอยู่หน้าแท่นผลิตของทั้ง 11 โรงงานหน้ากากอนามัยในประเทศไทย
แล้วยังมีข่าวที่น่าตกใจไปอีกว่า กรมการค้าภายใน ในฐานะผู้บริหารจัดการหน้ากากอนามัยได้ยกเลิกการจัดสรรหน้ากากอนามัยผ่านช่องทาง “ร้านค้าธงฟ้าฯ” และร้านสะดวกซื้อต่างๆ ตั้งแต่เมื่อกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปรับแผนการบริหารจัดการใหม่ให้สอดคล้องกับการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ “บุคลากรทางการแพทย์” ให้เพียงพอก่อน
ที่น่าตกใจก็คือ ปัจจุบันกำลังการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นได้ถึงราววันละ 2.2 ล้านชิ้น และจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ได้วันละ 1.3 ล้านชิ้นแล้ว จากเดิมที่ทั้งประเทศเคยผลิตได้ 1.3 ล้านชิ้นต่อวัน และจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ราว 7 แสนชิ้นต่อวัน
แน่นอน “บุคลากรทางการแพทย์” มีความสำคัญในยามนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว ก็เสมือน “กีดกัน” ไม่ให้ “ชาวบ้าน” เข้าถึงหน้ากากอนามัย แม้จะแนะนำให้ไปใช้ “หน้ากากผ้า” แทนก็ตาม
อีกทั้งก่อนหน้านี้ ช่วงที่มีการกระจายผ่าน “ร้านค้าธงฟ้าฯ” และร้านสะดวกซื้อต่างๆ ในราคา 2.5 บาทต่อชิ้นนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยได้ซื้อในราคานั้นเลย ยิ่งกว่า “งมเข็มในหาสมุทร” เสียอีก
ปรากฏว่ามีรายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องยกเลิกการจัดสรรหน้ากากอนามัยไปยัง “ร้านธงฟ้าฯ” เพราะมีการ “รั่วไหล” ตั้งแต่ต้นทางจัดส่ง ไปจนถึงร้านค้าต่างๆแล้ว เพราะกระทรวงพาณิชย์ไม่มีระบบบันทึกข้อมูลดังกล่าว
กลายเป็นว่าหน่วยงานหลักของรัฐปฏิเสธความรับผิดชอบดื้อๆ ไร้แอคชันในการดำเนินการตรวจสอบ มีเพียงออกมาประกาศยกเลิก และผลักภาระให้ชาวบ้านไปใช้หน้ากากทางเลือกแทน ที่สุดก็ต้องไปตกเป็นเหยื่อ “แก๊งตุนแมสก์” อีก
ที่ว่าไปข้างต้นทำให้เรื่อง “แก๊งตุนแมสก์” จึงไม่น่าใช่เรื่องกล่าวหากันลอยๆ
จาก “แมสก์” ก็มาถึง “ไข่” ที่จู่ๆ ก็มีกระแสข่าวว่า “ขาดตลาด” ทำเอาประชาชนแห่กันไปซื้อเก็บไว้ จนราคาไข่ไก่พุ่งกระฉูด ทำเอาหลายคนแปลกใจเพราะ “ไข่” ไม่น่าจะเป็นสินค้าขาดตลาดได้ เนื่องจากมีแม่ไก่ออกไข่ทุกวัน มีผลผลิตไม่ขาด
“โรคโควิด-19” ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับสัตว์ปีก เหมือนอย่าง “ไข้หวัดนก” ในอดีตแต่อย่างใด ปริมาณผลผลิตก็ไม่น่าจะลดลง
ทั้งประเทศปริมาณผลผลิตตกวันละ 40 ล้านฟอง ถึงขนาดว่าในประเทศบริโภคยังไม่หมด ต้องส่งออกอีก 2-3 ล้านฟอง หรือบางช่วงล้นตลาด ต้องออกแคมเปญให้คนไทยช่วยบริโภคไข่ อีกทั้งรัฐบาลยังต้องไปอุดหนุนเยียวยาผู้ประกอบการอีกด้วย
เห็นข่าวว่าขาดตลาด ราคาแพงขึ้น ก็มีคนไปถามถึง “หน้าฟาร์ม” ทุกเสียงก็ยังยืนยันขายราคาเดิม 2.8 บาทต่อฟอง
ก็มีคำถามว่า แล้วปลายทางที่ตลาดราคาขึ้นพรวดพราดมาได้อย่างไร
ไม่ต้องเรียนสูง ไม่ต้องทำฟาร์มไก่ แค่รู้ว่าผลผลิตไม่ลดลง ราคาต้นทางเท่าเดิม มีแค่ “ข่าวลือ” ว่าขาดตลาด แล้วราคาปลายทางแพงขึ้น แล้วไข่ก็ไม่น่าใช่ของที่ควรกักตุนด้วย เพราะเก็บไว้ได้ไม่นาน
แถมไข่ในท้องตลาดน่าจะล้น มากกว่าขาดด้วยซ้ำ จากปัญหาที่ร้านรวงตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือรายทาง ถูกคำสั่งไม่ให้ลูกค้ากินที่ร้าน และบางส่วนปิดชั่วคราว ย่อมทำให้ขายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าเดิม
งานนี้ต้อง “คนกลาง” ที่คอยปั่นข่าว-ปั่นราคา แน่นอน
“กระทรวงพาณิชย์จะออกประกาศห้ามส่งออกไข่ไก่ไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โดยให้ทดลองมาตรการเป็นเวลา 7 วัน และยังได้ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยไม่ให้กรมปศุสัตว์ออกใบอนุญาตในการส่งออกให้ด้วย เพื่อให้ประชาชนมีไข่ไก่ในการบริโภคเพียงพอ และหากสถานการณ์ไข่ไก่ขาดตลาดยังไม่ดีขึ้นก็จะมีการขยายเวลา และมีมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาดำเนินการต่อไป”
นั่นมาตรการแก้ปัญหาไข่ของ “รัฐมนตรีจุรินทร์”
เหลือเชื่อว่า กระทรวงพาณิชย์ตีโจทย์ไม่แตก หรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่รู้อีท่าไหน “จุรินทร์” กลับออกคำสั่งสั่งห้ามส่งออกไข่ 7 วัน เพื่อแก้ปัญหาไข่ขาดตลาด ไม่ยักจะไปดูปลายทางว่าเกิดอะไรขึ้น
บอกเลย “เกาไม่ถูกที่คัน” ไปเขี่ยลูกเข้าเท้า “แก๊งปั่นราคา” อีก
เดชะบุญที่ “จุรินทร์” ยังพอเข้าใจปัญหาอยู่บ้างด้วยการเข้าไปคุมเข้มการขายเกินราคา เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มมีราคาเฉลี่ย 2.80-2.90 บาทต่อฟอง เมื่อไปถึงปลายทางไม่ควรจะเกิน 3.30-3.50 บาทต่อฟอง
อย่างไรก็ดี ปัญหาก็คือที่ผ่านมาประชาชนไม่มั่นใจในกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การรบริหารงานของ “จุรินทร์” เพราะฉะนั้นการแห่ไปซื้อไข่มากักตุนอยู่ที่บ้านจึงเกิดขึ้นทั่วประเทศ
แล้วจะว่าไปอีกกระทรวงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “ไข่” โดยตรงก็คือ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่มี “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” คนประชาธิปัตย์นั่งเก้าอี้เป็นรัฐมนตรีว่าการ แถมยังมี “คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board)” ซึ่งมีหน้าที่ดูแลภาพรวมของประเทศ และดูแลราคาไข่ไก่ให้มีเสถียรภาพกำกับอยู่อีกชั้น ถ้าทั้งสองกระทรวงประสานงานกันอย่างเข้มข้น น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ก็หวังว่า “ศอค.” ที่ให้อำนาจ “ปลัด” ดูแลด้านนี้แล้ว คงไม่ตื้นเขินเหมือน “เจ้ากระทรวง” แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะฉะนั้นทางที่ดี “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมน่าจะต้องจับตา “เป็นกรณีพิเศษ”
ถ้าเป็นไปได้ก็มอบหมายให้ “ใครสักคน” ทำหน้าที่เป็น “มิสเตอร์ไข่ไก่” ก็จะเป็นการดี ส่วนจะเป็นใน “ทางลับ” หรือใน “ทางแจ้ง” ก็ว่ากันอีกเรื่อง
ไม่เช่นนั้นจะไปซ้ำร้อยหน้ากากอนามัย และคนที่รับกรรมก็คือ “ประชาชนคนไทย”