ป้อมพระสุเมรุ
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ที่เลวร้ายลงทุกที สถานการณ์การเมืองของบรรดา “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เพราะมีการเปิดยุทธการ “โคขวิด” ซัดกันเอง เล่นเกมสงครามเย็นใส่กันไม่ยั้ง
ไล่ตั้งแต่ พรรคประชาธิปัตย์ ขาประจำ ที่ลูกพรรคนำโดย 4 กุมารสีฟ้า ได้แก่ “เสี่ยตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง, “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช, “เสี่ยหนุ่ม” พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหนึ่งเดียวปลายด้ามขวานของพรรคอย่าง อันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี ใช้จังหวะนี้ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปรับ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกจากรัฐมนตรี กรณีคณะติดตามไปปรากฏตัวอยู่ในคลิปของก๊วนกักตุนหน้ากากอนามัย ผสมโรงไปกับที่ชี้แจงไม่เคลียร์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา
ขั้นประกาศให้ “เลิกพายเรือให้โจรนั่ง” ทำเอาอีกขั้วในพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลอยู่ไม่ได้ ต้องออกมาแถลงยืนยันว่า ไม่คิดจะทิ้งรัฐบาลไปไหน
ชนิดว่า ใน “ประชาธิปัตย์” ก็กำลังซัดกันเละ
เรื่องก็ทำท่าจะดี หลังพอเข้าอกเข้าใจกันว่า เป็นเพียง ส.ส.บางส่วนที่ออกมาเคลื่อนไหว แต่มันเหมือนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก เรื่องระหว่างแกนนำรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่จบเท่านี้
โดยเฉพาะกรณี “หน้ากากอนามัย” ระหว่าง “กรมการค้าภายใน” กับ “กรมศุลกากร” เปิดศึกใส่กัน เรื่องตัวเลขการส่งออก ซึ่งไม่ตรงกัน
ที่สำคัญ คนเชื่อตัวเลข “กรมศุลกากร” ที่โฆษกออกมาแถลงมากกว่า ทำเอา “วิชัย โภชนกิจ” ฉุนขาด รุดไปแจ้งความโฆษกกรมศุลกากร โทษฐานทำให้เสียหาย
เรื่องนี้ถูกสาวว่า ไม่ใช่ศึกระหว่างข้าวราชการ-หัวหน้ากรมกอง หากแต่มองให้ลึกน่าจะเป็นศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล “พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์” มากกว่า
เพราะอย่าลืมว่าเจ้ากระทรวง 2 แห่งเป็นระดับ “หัวหน้าพรรคการเมือง” ทั้งคู่
ตัว “อธิบดีกรมการค้าภายใน” ตกเป็น “ตำบลกระสุนตก” มาตั้งแต่เรื่องเกิดเรื่องหน้ากากอนามัยขาดแคลน โดนฝ่ายแกนนำรัฐบาลตำหนิหลายหน จึงถูกมองว่า น่าจะเป็นแผนเขี่ยออกจากเก้าอี้โดยมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
หลังจากเกิดข่าวไม่นาน ปรากฏว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเซ็นเด้งสายฟ้าแล่บ ชนิดที่เจ้าตัวยังงง “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังเหวอ เพราะไม่มีการแจ้งล่วงหน้ามาก่อน
ช็อตนี้ “ร้าวลึก” เพราะ “จุรินทร์” เองก็ไม่ค่อยแฮปปี้ อย่างน้อยควรจะแจ้งให้ตัวเองทราบ เนื่องจากเป็นเจ้ากระทรวง การทำแบบนี้เหมือนไม่ไว้หน้ากัน ตามคิวที่ถูกนักข่าวถามจะส่งผลสะเทือนถึงพรรคร่วมรัฐบาล แต่เจ้าตัวไม่คอนเฟิร์ม คล้ายต้องการทิ้ง “นัย” บางประการไว้
นอกจากนี้ ยังมาเกิดกรณี “คนข้างกายตัวรัฐมนตรี” ถูกพาดพิงแบบไม่เอ่ยชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย มีการแจ้งความร้องทุกข์ปล่อยอักษรย่อ “ไอ้โม่ง” กันอออกมา
กระทั่ง “เจ๊ติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ร้อนตัวร้อนใจ รีบออกมาแถลงชี้แจง พร้อมแจ้งความ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ทนายคนดัง ซึ่งเป็นคนหอบเอาพยานหลักฐานไปยื่นให้กับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
“คนประชาธิปัตย์” ถูกล็อกเป้าครั้งนี้ ทำเอาจับโยงกันไปถึงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ครั้งหนึ่งเกิดปาล์มขาดแคลนอย่างหนัก แล้วก็เป็น “คนใน” ของค่ายสีฟ้าที่ถูกพุ่งเป้าว่า มีการกักตุนน้ำมันปาล์มเพื่อเม็ดเงินมหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้ามาในช่วงที่คนอื่นกำลังเผชิญวิกฤติ
เป็นพวก “ไอ้โม่ง” ที่พลางหน้าด้วย “เดอะ แมสก์” ย่องเงียบๆ ฟาดเรียบเน้นๆ
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ใช่ว่าดี ลูกเสือลูกตะเข้ในพรรคก็สาวหมัดใส่กัน สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. ออกมาจี้ให้ ร.อ.ธรรมนัส เสียสละไขก๊อก จน ส.ส.ในก๊วนผู้กอง ออกมาตอบโต้ ร้อนทะลุไลน์กลุ่มจนปรากฏให้คนภายนอกได้เห็น
ล่าสุดมิวาย ส.ส.บางขั้วในพรรคไปจัดงานวันคล้ายวันเกิด ท่ามกลางมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการให้งดงานสังสรรค์ เพื่อหลีกเลี่ยงการชุมนุม แต่องคาพยพมาทำเสียเอง ทำเอา “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคกุมขมับ มีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน
หรือคิว “ข้ามหน้าข้ามตา” แย่งซีนทั้งที่อยู่ฝั่งเดียวกัน ที่ 2 จังหวัดในอาณัติ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย โชว์หล่อ เจิมหัวด้วย “บุรีรัมย์” ที่ “เสี่ยโอ้ง” เนวิน ชิดชอบ ประกาศชัตดาวน์จังหวัดในคอนเซ็ปต์ “ใครไม่ทำ GU ทำ” ต่อเนื่องด้วย “เฮียหลา” ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ที่ทางจังหวัดสั่งปิด “คุ้งน้ำสะแกกรัง” ตามมาติดๆ ในวันเดียวกัน
ทีมภูมิใจไทยทำ ได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราว ทั้งที่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ “การปิดเมือง” หากแต่เป็นการเพิ่มการคัดกรองเท่านั้น
แม้บิ๊กรัฐบาลจะไม่ขัด และพยายามประกาศว่า สนับสนุน เพราะเป็นอำนาจที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถทำได้ แต่ซีนนี้ใครก็รู้ “ภูมิใจไทย” ฉวยจังหวะ เอาเท่ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังขาลง โดนคนวิพากษ์วิจารณ์ทั่วบ้านทั่วเมือง
การสร้างภาพเปรียบเทียบให้เห็น ไม่ต่างอะไรกับการบลั๊ฟมาตรการของรัฐบาลที่ตัวเองเป็น “พรรคร่วม” อยู่ ย่อมสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับบรรดาแกนนำรัฐบาล
เพราะมัน “ออฟไซด์” กันเห็นๆ มารยาททางการเมืองเขาไม่ทำกัน
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ว่ากันว่า “เสธ.คนดัง(แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดัง)” ที่รั้งเก้าอี้ใหญ่ “ฝ่ายประชาสัมพันธ์” ที่เห็นว่า การชี้แจงข้อมูลข่าวสารของรัฐไม่ทันท่วงที เลยกระซิบให้ เทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ “บิ๊กตู่” ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลโควิด-19” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการชี้แจงของรัฐบาล
ช็อตนี้ใครจะรู้ว่า เหยียบตาปลา “เสี่ยหนู” เข้าเต็มๆ เพราะงานรับมือโควิด-19 แม่ทัพควรจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขมีการแถลงข่าวอัพเดตข้อมูลทุกวันอยู่แล้ว การมาตั้งศูนย์โควิด -19 ขึ้น โดยมี “เทวัญ” เป็นผู้อำนวยการ เหมือนเป็นการหักหน้าว่า ตัวเองทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
เป็นภาพสะท้อนว่าการทำงานในรัฐบาลของ 3 พรรคการเมืองหลัก ไม่ได้คล้องจองทำนองเดียวกัน ยิ่งในยามวิกฤตยิ่งเห็นได้ชัด นำมาซึ่งสูตรปรับ ครม.ที่ “พิสดารพันลึก” หลากหลายสูตรที่หลุดออกมาในยามนี้
อย่างที่รู้กัน จังหวะนี้คงยังไม่เหมาะที่จะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อย่างไรก็ต้องปรับแน่ แค่ปรับแบบไหน “ปรับเล็ก-ปรับใหญ่-เปลี่ยนหัวล้างไพ่” มีให้ลุ้นทุกสูตร
ฝุ่นควัน “โควิด-19” สร่างซาแล้วคงได้รู้ “ใครจะอยู่ ใครจะไป”.