การเปิดโปงหน้ากากอนามัยหายไปไหน และใครคือ 'ไอ้โม่ง' ที่ได้ประโยชน์ ยังคงเดินหน้า ส่วนผู้ที่ถูกเชื่อมโยงต่างหาหลักฐานมาหักล้าง ด้าน 'ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า' มั่นใจ 'ไม่ใช่เขาแน่' ส่วนโฆษกกรมศุลฯ ยอมรับตัวเลขแถลงไปคลาดเคลื่อน ขณะที่ 'อธิบดีกรมการค้าภายใน' ยอมไม่ได้ฟ้อง 2 ข้อหาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีกรมการค้าฯ ขณะที่ ปชป. ท้า ถ้า ปชป.มีเอี่ยว 'จุรินทร์' ต้องรับผิดชอบ ลาออกจากหัวหน้าพรรคและไม่ร่วมรัฐบาล เปิดทางให้บิ๊กตู่ปรับ ครม. ส่วนข่าววงใน ชี้ 'โฆษกศุลกากร' ถูกใบสั่งนักการเมือง สุดท้าย 2 กระทรวงเคลียร์กันได้ แต่ไอ้โม่งยังลอยนวล!
สังคมกำลังตั้งคำถามและติดตามอย่างต่อเนื่องว่า หน้ากากอนามัยที่ใช้ในวงการแพทย์ หายไปไหน และใครคือไอ้โม่งที่กักตุนหน้ากากอนามัยเพื่อหาประโยชน์ให้แก่ตัวเองท่ามกลางภาวะวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งโรงพยาบาลผลิตแพทย์อย่าง ศิริราช รามาฯ จุฬาฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเวชกรรมต่างๆ ไม่มีหน้ากากอนามัยใช้
โดยเฉพาะภาพที่แพทย์ผ่าตัดต้องใช้หน้ากากผ้าแทน และหน้ากากผ้าก็เต็มไปด้วยเลือด ได้สร้างความรู้สึกหดหู่ให้คนในสังคม จึงเกิดเสียงก่นด่ารัฐบาลบิ๊กตู่ตามมา ที่ไม่บริหารจัดการแก้ปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19
ต่อมา ดูเหมือนว่าเรากำลังจะจับ 'ไอ้โม่ง' ที่ได้ประโยชน์จากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยเพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการขาดแคลนหน้ากากอนามัยนั้น เราสามารถหาซื้อได้ที่องค์การเภสัชกรรม ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ กล่องละ 50 แผ่น ราคาประมาณ 45 บาท กลับโก่งราคาขายกันในตลาดออนไลน์ กล่องละ 800-1,200 บาท
และเมื่อเพจแหม่มโพธิ์ดำ ออกมาเปิดโปง! บอกให้ชาวโซเชียลฯ รู้ว่าหาเจอคนอมหน้ากากแล้ว ก็เริ่มเห็นความหวังจากข้อความที่สื่อออกมา
“มีนักข่าวคนไหนสนใจทำข่าว คนสนิทผู้ติดตามรัฐมนตรี...ท่านหนึ่ง มีหน้ากากในสต๊อกเป็นล้านชิ้น พร้อมหลักฐาน ติตต่อหลังไมค์ได้นะ ชาวโซเชียลฯ หาเจอคนอมหน้ากากแล้วค่ะ”
จากนั้นสื่อต่างๆ ได้มีการนำเสนอรายละเอียดใครเป็นใครอย่างต่อเนื่องถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย และมีการส่งออกต่างประเทศ 274 ล้านชิ้น (1 กล่อง 50 ชิ้น น้ำหนัก 60 กรัม หน้ากากอนามัย 330 ตัน เท่ากับ 274 ล้านชิ้น) ซึ่งเป็นการดำเนินการของผู้ประกอบการไม่กี่ราย ส่งไปในหลายประเทศทั้งจีน ฮ่องกง สหรัฐฯ ประกอบด้วย
เดือนมกราคม 2563 มีการส่งออกหน้ากากอนามัย 150 ตัน
เดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีการส่งออกหน้ากากอนามัย 180 ตัน
330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท
ตัวละครที่เกี่ยวข้องจากการเปิดโปงครั้งนี้ ทำให้ทุกฝ่ายมุ่งเป้าไปที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เนื่องเพราะ นายพิตตินันท์ รักเอียด ผู้ติดตามไปถ่ายรูปกับ นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือบอย นักธุรกิจที่โพสต์คลิปโชว์ในเฟซบุ๊กอ้างว่ามีหน้ากากอนามัย จำนวน 200 ล้านชิ้นเพื่อขายต่อให้นายทุนจีนและผู้อื่น
รวมไปถึงนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ เลขาธิการพรรคภราดรภาพ ซึ่งเป็นนักธุรกิจและทำธุรกิจกับจีน ยังเป็นเจ้าของสถานที่ที่ 'บอย' เข้าไปถ่ายคลิป และที่นี่ได้พบหน้ากากอนามัย 12,500 ชิ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส กลายเป็นเป้าถูกโจมตี เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐมนตรีค้ายาอยู่แล้ว จึงทำให้สังคมเชื่อได้ง่ายว่า ร.อ.ธรรมนัส น่าจะเป็นไอ้โม่งที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนไทยทั้งประเทศ
เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมอีกหนึ่งข้อกล่าวหา ทำให้เขาเองต้องเร่งหาหลักฐานมาทำความจริงให้กระจ่าง ซึ่งคนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส บอกว่าเรื่องนี้ไม่น่ายากต้องแกะรอยจากเส้นทางการเงินก็น่าจะพอรู้ได้ ว่าเรื่องนี้เป็นขบวนการหรือไม่? ใครเกี่ยวข้องบ้าง?
แต่ในทางการเมืองเมื่อ ร.อ.ธรรมนัส ตกเป็นจำเลยสังคม ก็ทำให้กลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐที่ไม่อยากให้ ร.อ.ธรรมนัส กอดเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่แล้ว ก็ถือโอกาสเขย่าแรงๆ หวังให้นายกรัฐมนตรีบิ๊กตู่ ปลดออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ
รวมไปถึงสมาชิกบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ต้องการให้ ปชป.เข้าร่วมรัฐบาล ก็ออกมาเรียกร้องให้ ปชป.ถอนตัว ด้วยการให้เหตุผลว่า ปชป. ไม่ควรพายเรือให้โจรนั่งอีกต่อไป
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของหน้ากากอนามัยหายไปไหน และใครคือไอ้โม่งที่ได้ประโยชน์เกิดขึ้น ดูเหมือนจะถูกโยงไปเป็นเรื่องการเมือง เมื่อเกิดประเด็นใหม่ออกมาจากการที่นายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร ระบุว่า ภาพรวมการส่งออกหน้ากากอนามัยในเดือนมกราคม 2563 อยู่ที่ 150 ตัน และเดือนกุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ 180 ตัว รวมแล้ว 2 เดือน มีการส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งสิ้นกว่า 330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท
ที่สำคัญกรมศุลกากรให้มีการส่งออกหน้ากากอนามัยตามใบอนุญาตของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งการส่งออกดังกล่าวเป็นการดำเนินการของผู้ประกอบการไม่กี่ราย ไปในหลายประเทศทั้งจีน ฮ่องกง อเมริกา
“การส่งออกเป็นไปตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ ที่บอกว่าห้ามส่งออก เว้นแต่ได้รับการอนุญาตถ้าผู้ประกอบการมีใบอนุญาต กรมศุลกากรก็คงไปห้ามไม่ให้ส่งออกไม่ได้ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์เข้มงวดเรื่องนี้มากขึ้น ยอดการส่งออกหน้ากากอนามัยจะชะลอตัวลง”
ประเด็นที่โฆษกกรมศุลกากรแจงนั้น ทำให้การตามหา 'ไอ้โม่ง' พลิกไปที่กระทรวงพาณิชย์ทันที และดูเหมือนผู้ที่ร้อนๆ หนาวๆ ก็คือสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอธิบดีกรมการค้าภายในทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่กรมศุลกากรชี้แจง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ต้องทำความจริงให้กระจ่าง และหากนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทำผิดไปจากประกาศที่กำหนดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม โรงงาน ผู้นำเข้า ผู้ค้า ต้องแจ้งปริมาณการผลิต ส่งออก ซึ่งตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ หากใครจะส่งออกหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้นก็ต้องขออนุญาตก่อน ข้อบังคับนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 หากฝ่าฝืนมีทั้งโทษปรับและจำคุก
“ถ้าทุกอย่างเป็นจริง และนายจุรินทร์ ไม่ปากว่าตาขยิบ ก็ต้องกล้าสั่งย้ายอธิบดี เรื่องนี้พิสูจน์กันได้ เพราะถ้านายจุรินทร์ หรือคนใกล้ชิดนายจุรินทร์ รู้เห็น ประชาธิปัตย์ก็ฉิบหายกันไปหมด เรื่องนี้ต้องพิสูจน์”
ด้าน นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ก็ออกมาประกาศทันทีว่าจะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีต่อโฆษกกรมศุลกากรเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกรมการค้าภายใน
อย่างไรก็ดี ยังไม่ทันจะข้ามวันในการแถลงข้อมูลการส่งออกหน้ากากอนามัยของโฆษกกรมศุลกากรในช่วงบ่ายของวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา พอถึงเวลาประมาณ 19.30 น. ก็ได้มีการชี้แจงว่าข่าวส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน เพราะมีการรวมสินค้าอื่นด้วย
โดยกรมศุลกากรชี้แจงว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขจากพิกัดศุลกากร ซึ่งรวมสินค้าชนิดอื่น นอกจากหน้ากากอนามัยอีกหลายชนิด เช่น ชุดผ้าหุ้มเบาะ เชือกผูกรองเท้า ผ้ากันเปื้อน ผ้าคลุม สายคล้องคอทำด้วยผ้าทอ เป็นต้น และยังเป็นตัวเลขในช่วงเดือนมกราคม ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนที่จะมีประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 4 ก.พ.2563 เรื่องการควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.2563 เพื่อควบคุมการส่งออกหน้ากากอนามัย เพื่อลดการขาดแคลนหน้ากากอนามัยในประเทศ
แม้ว่าโฆษกกรมศุลกากร จะออกมาชี้แจงข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนแล้วก็ตาม แต่เรื่องนี้อธิบดีกรมการค้าภายในก็ได้เดินหน้าฟ้องตามที่กล่าวไว้ โดยได้แจ้งความใน 2 ข้อหาคือ การหมิ่นประมาท และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูลแถลงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน สร้างความเสียหายให้กรมการค้าภายใน
“ไม่รู้จักโฆษกเป็นการส่วนตัว ไม่ได้ไม่พอใจ และผมก็เป็นลูกหม้อกรมการค้าภายใน การฟ้องก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกรมการค้าภายใน แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พูดออกมาผิดพลาด และการที่ออกมาชี้แจงไม่พอ ต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้”
แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า เรื่องนี้เชื่อว่ามีการสั่งการของบิ๊กการเมืองในพรรค พปชร.และนักการเมืองในกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมศุลกากรไปตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลที่ได้มา และข้อมูลที่ให้โฆษกกรมศุลกากรแถลง อาจถูกบิดเบือนไปบ้าง จนทำให้กลายเป็นปัญหาระหว่างข้าราชการกระทรวงการคลัง กับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์
“เรื่องนี้ประชาธิปัตย์ก็บอกกับเราว่าไม่สบายใจ จึงได้ส่งคนตรวจสอบหาความจริงว่าใครเป็นคนสั่งให้กรมศุลกากรแถลงเช่นนี้ และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆ คือให้ตัวเลขของกรมศุลฯ ที่แถลงมีความคลาดเคลื่อน เดี๋ยวรัฐบาลก็ต้องมีวิธีเคลียร์ปัญหาให้แก่ข้าราชการทั้ง 2 ฝ่าย”
ด้านแหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องของหน้ากากอนามัย ยังเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าหายไปไหนและใครเกี่ยวข้อง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องแสดงสปิริต หากเข้าไปพัวพันเรื่องนี้จริง คือคณะกรรมการบริหารพรรคต้องลาออก และถ้าใครมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องลาออกเช่นกัน
“หัวหน้าพรรคต้องลาออกทั้งตำแหน่งในรัฐบาล และหัวหน้าพรรค ซึ่งจะต้องเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคกันใหม่ ซึ่งเป็นการให้โอกาสบิ๊กตู่ปรับ ครม. ถ้ายังอยากให้ ปชป.ร่วมรัฐบาลก็เชื่อว่าเก้าอี้รัฐมนตรีของ ปชป.จะลดลง และกระทรวงพาณิชย์ หรือกระทรวงเกษตรฯ ก็อาจถูกโยกไปเป็นของพลังประชารัฐ”
แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของนายกฯ บิ๊กตู่ ที่จะต้องทำความจริงให้กระจ่าง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับคืนมา เพราะจากการหารือเบื้องต้นคาดว่านายกรัฐมนตรีจะมีการปรับ ครม.หลังเมษายนไปแล้ว หรือในช่วงก่อนจะมีการเปิดประชุมสภาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2563 และการปรับครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการปรับเฉพาะในพรรคพลังประชารัฐก็เป็นได้!