ข่าวปนคน คนปนข่าว
**สปิริต “อุตตม” นำเป็นตัวอย่าง ลดเสี่ยงกักตัวเอง 14 วัน ทำงานที่บ้านผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตอนนี้น่ากังวลยิ่ง เมื่อมีข่าวจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แม้จะมีการยกระดับมาตรการควบคุมเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้นก็ตาม
ไวรัสว่าร้ายก็ยังไม่ร้ายเท่า “ไวรัล” ที่จับสถานการณ์มาผสมโรงกับการทำร้ายทำลายกันทางการเมือง อย่างรายของ ตำรวจนำขบวน ของ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ที่ใส่สีตีไข่กันเกิน จะด้วยวาระซ่อนเร้นอะไรไม่ทราบ แต่ก็ไม่ควรมาเล่นกันในภาวะที่สังคมอ่อนไหวเช่นนี้...
เรื่องที่ว่าเป็น “ตำรวจติดตาม” และนั่งหน้ารถคันเดียวกันของ “รมว.อุตตม” โดยเจ้าหน้าที่รายนี้ ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วแสดงอาการทั้งอาเจียน และปล่อยสารคัดหลั่งออกมากระจายเต็มรถ ก็ไม่ใช่ความจริง... โอเวอร์จากความเป็นจริงไปมาก
ฟังความจริงจากปากของ “รมว.อุตตม” เองระบุว่า ตำรวจนายนี้เป็นตำรวจนำขบวน ไม่ได้เป็นผู้ติดตามคณะของรัฐมนตรี ไม่ได้มานั่งในรถคันเดียวกัน แต่ปฏิบัติหน้าที่ในรถนำอีกคันหนึ่ง... และไม่มีอาการอาเจียน หรืออย่างอื่นตามที่ข่าวแพร่ออกมา
จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า นายตำรวจมาเข้าทำงานเมื่อวันพุธที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา เพียงวันเดียวแล้วไม่ได้เข้ามาทำงานอีก เพิ่งทราบตอนหลังว่าได้รับเชื้อ “ไวรัสโควิด-19” จึงได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
แม้จะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดโดยตรง แต่เมื่ออาจจะอยู่ในข่ายเสี่ยงจะติดเชื้อ เพื่อความสบายใจ และเมื่อทราบเรื่องแล้ว “รมว.อุตตม” พร้อมกับคณะติดตามทั้งหมด จึงได้ไปตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผล และได้หยุดเข้าปฏิบัติงานทันที 14 วัน โดย “ขุนคลังอุตตม” จะทำงานที่บ้านผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
นอกจากนั้น ทาง “ประสงค์ พูนธเนศ” ปลัดกระทรวงการคลัง ก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข โดยได้ประสานงานไปยังกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้ามาตรวจสอบตามระเบียบ พร้อมทั้งได้จัดให้เจ้าหน้าที่พ่นยาฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องในวันนี้แล้ว
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของ “รมว.อุตตม” วันนี้ ก็นับว่าได้แสดงสปิริต เป็นตัวอย่างที่ดีในภาวะที่เรากำลังต่อสู้กับไวรัสโควิด-19
ถึงเวลาต้องตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน ปฏิบัติตามข้อแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน!!
** โป๊ะแตก!! “อลงกรณ์” ชิงแถลง “มัลลิกา” ไม่มีเอี่ยวกักตุนหน้ากากอนามัยส่งนอก ...ทำเอาหัวหน้าทีมกฎหมายพรรคถึงกับงง เพราะยังไม่ได้ตั้งกรรมการสอบ แล้วผลออกมาได้ไง
กรณี “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กของชมรมฯ ถึงเรื่องหน้ากากอนามัยขาดตลาดหาซื้อไม่ได้ ที่พอจะหาซื้อได้ก็ต้องสั่งทางโซเชียลฯ ซึ่งราคาแพงลิบลิ่ว ...แล้วหน้ากากอนามัยหายไปไหน ทั้งที่รัฐบาลก็ระบุว่ามีการผลิตได้ถึงวันละ 1.2 ล้านชิ้น... “นายอัจฉริยะ” ได้แฉว่ามีหญิงสาวซึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาล มีส่วนรู้เห็นการส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศ โดยไม่ได้ระบุชื่อว่าที่ปรึกษาหญิงของรัฐมนตรีคนนั้นเป็นใคร
ไม่กี่วันถัดมา “นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” ที่ปรึกษา “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้มอบอำนาจ ให้ “ทนายนกเขา” นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “นายอัจฉริยะ” ในความผิดเรื่องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด .. .ซึ่ง “ทนายนกเขา” ก็ได้ไปที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แจ้งความ พร้อมมอบหลักฐาน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา นี่เอง
เมื่อ “มัลลิกา” เปิดตัวออกมาเช่นนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็อยู่เฉยไม่ได้... สั่งให้ “นายราเมศ รัตนะเชวง” โฆษกพรรค ออกมาแถลงว่าทางพรรคจะมีการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จะตรวจสอบอย่างเต็มที่ ตรวจสอบให้ถึงที่สุด ทำความจริงให้ปรากฏ ไม่มีการปกป้องกันอย่างเด็ดขาด หากพบว่ามีมูลความผิด ก็มีโทษหนักถึงขั้นพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค
แม้การแถลงของโฆษกพรรคจะดูขึงขัง เอาจริงเอาจัง แต่ในโซเชียลฯ ก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ไปทำนองว่า ตั้งคนกันเอง มาสอบกันเอง สุดท้ายก็เข้าอีหรอบ “มวยล้มต้มคนดู” ตามสไตล์นักการเมือง
ถัดจากที่โฆษกพรรค แถลงว่า จะตั้งกรรมการสอบไปแค่วันเดียว... “นายอลงกรณ์ พลบุตร” ที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า คณะที่ปรึกษาของ รมว.พาณิชย์ นั้น มี 2 คน คือ “น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ และ “นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข” และ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในพรรค พบว่า ทั้งสองคน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย...
โดย “น.ส.อรอนงค์” ยืนยันว่า ไม่เคยกักตุนหน้ากากอนามัย ไม่เคยมีการซื้อขายทำกำไร ส่วนที่เอาหน้ากากอนามัยไปแจกชาวบ้านนั้น ก็ไปซื้อมาจากร้านค้าในย่านสำเพ็ง มีใบเสร็จ มีหลักฐานทุกอย่าง เงินที่ซื้อก็เป็นเงินที่กลุ่มเพื่อนๆ บริจาคมาเพื่อการกุศล ทุกอย่างสามารถชี้แจงได้หมด
ส่วนกรณี “นางมัลลิกา” ก็ได้ชี้แจงยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 1,000 เปอร์เซ็นต์ กับ 11 โรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัยใดๆ ทั้งสิ้น และ ได้ขอพรรคใช้สิทธิ์ ดำเนินคดีต่อผู้มากล่าวหาว่าไปมีส่วนพัวพัน
“นายอลงกรณ์” ยังย้ำว่า แม้จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากในภายหลังพบข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากนี้ ทางพรรคก็พร้อมจะใช้มาตรการลงโทษขั้นสูงสุด คือ ไล่ออก และถูกดำเนินคดี เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อห้ามว่า ส.ส.ของพรรค หรือผู้มีตำแหน่งทางการเมือง หากพบว่าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ จะมีมาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาด คือ ไล่ออกจากพรรค
นักข่าวประจำพรรคประชาธิปัตย์ ได้ฟังแล้วก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่า ทำไมผลสอบออกมาเร็วนัก ทั้งที่ยังไม่เคยมีข่าวว่าตั้งใครเป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ... จึงได้ไปถาม “นายถวิล ไพรสณฑ์” หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรค ก็ได้รับคำตอบว่า... ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากคณะกรรมการบริหารพรรค หรือมีคำสั่งใดๆ ลงมาให้ฝ่ายกฎหมายพรรคทำหน้าที่ตรวจสอบใคร...อ้าว!! โป๊ะแตก ... เพราะตามปกติแล้ว หากจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องใด จะสอบใคร ทางกรรมการบริหารพรรคจะหารือกันก่อน แล้วมีคำสั่งลงมาที่ฝ่ายกฎหมาย เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบ ...
เรื่องนี้ “นายถวิล ไพรสณฑ์” ก็ชี้แจงเพิ่มเติมแบบ “เผื่อเหลือ เผื่อขาด” ว่า ส่วนตัวเข้าใจว่าโฆษกพรรคที่ออกมาแถลงว่า พรรคพร้อมทำการตรวจสอบนั้น เพราะเขาก็เป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ด้วย... ก็คงต้องรอให้ชัดเจนก่อน และเข้าใจว่า หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็น รมว.พาณิชย์ด้วย คงจะยังมีภารกิจที่ต้องทำในช่วงนี้ จึงยังไม่มีคำสั่งใดๆ มาถึงฝ่ายกฎหมายของพรรค ...
คราวนี้ลองไปฟังคำชี้แจงของ “มัลลิกา” ที่เพิ่งออกมาพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ว่า ที่ต้องตั้งทนายไปฟ้อง “นายอัจฉริยะ” เพราะได้มีการไลฟ์สด พาดพิงว่า มีที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออกหน้ากากอนามัย และที่ไม่ได้ออกมาตอบโต้ตั้งแต่ต้น เพราะนายอัจฉริยะไม่ได้ระบุชื่อใคร แต่เมื่อมีการพูดซ้ำหลายครั้ง บอกว่าที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้หญิง ระบุบุคลิกมาเสร็จสรรพ ทำให้คนเชื่อว่าต้องเป็นนางมัลลิกา ประกอบกับที่ปรึกษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งของกระทรวงนี้ คือ นางมัลลิกา ดังนั้น จึงต้องดำเนินการทางคดีอาญา
พร้อมกันนี้ ก็ได้ปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัย หรือกิจการใดของผู้ประกอบการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย ทั้งสิ้น... ไม่รู้จัก ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่ได้มีมิตรคนใดไปเกี่ยวข้องกับกิจการหน้ากากอนามัย ของบริษัทใดทั้งสิ้น... และในการทำหน้าที่ขออนุญาต ตามระเบียบราชการนั้น จะมีคณะอนุกรรมการ จากกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีทั้งตัวแทนองค์การอาหารและยา (อย.) ตัวแทนองค์การเภสัช ตัวแทนกรมการค้าภายใน และ ตัวแทนกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นผู้พิจารณา เป็นองค์คณะ ฝ่ายข้าราชการการเมืองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้... จึงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ที่ตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องตามที่พยายามยัดเยียดข้อกล่าวหา
“นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข เชื่อมั่น และเชื่อใจได้ เพราะการทำงานที่ผ่านมา ก็เคยดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ทั้งเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี ผ่านการทำหน้าที่มาทั้งหมด 3 กระทรวง ไม่เคยมีความด่างพร้อย ตลอดเส้นทางการทำงานนั้น ยึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริตเสมอมา หลักการนี้ มันอยู่ที่จิตสำนึก มโนสำนึก ไม่ได้อยู่ในบุคลิกหน้าตา มัลลิกาเป็นมนุษย์ทำงาน จึงมุ่งมั่นทำงาน ขอให้กำลังใจมนุษย์ทำงานทุกคน มนุษย์ทำงานต้องได้รับความเป็นธรรม”...
… แน่นนอนว่า คนทำงานต้องได้รับความเป็นธรรม...แต่สังคมยังมีข้อกังขาว่า หน้ากากอนามัยหายไปไหน...ทำไมถึงมีการรีบ “ตัดจบ” ... เรื่องนี้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รมว.พาณิชย์ ต้องทำความจริงให้กระจ่าง ด้วยการตั้งคณะกรรมการกลาง ของกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นมาสอบหาข้อเท็จจริง เพราะผู้ที่ถูกพาดพิงนั้น หนึ่งเป็นคนใกล้ตัว มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา และเป็นลูกพรรคประชาธิปัตย์... ส่วนอีกคน เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แม้จะยื่นลาออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม ... อย่าลืมว่าสังคมกำลังติดตามเรื่องนี้อย่างจดจ่อ!