ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นข่าวใหญ่ช็อกสังคมอีกครั้ง เมื่อ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) นำกำลังชุดสืบสวนบุกรวบ “พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์และพวก” อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนคดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้น นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือ “เสี่ยจืด” ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีกำหนดนัดฟังคำพิพากษา 20 มีนาคม นี้
พฤติกรรมที่สุดโหดเหี้ยมจากคำซัดทอดของสมุนในแก๊งทั้ง 5 คน ที่รับสารภาพหมดเปลือกแล้วก็คือ พ.ต.ท.บรรยิน ลงมือเองในการอุ้มฆ่าจับฆ่าเผานั่งยางครั้งนี้ ทั้งทีมจึงถูกจับยัดคุกและห้ามประกัน ตามคำร้องของกองปราบฯ ที่ยื่นต่อศาลขอฝากขังผัดแรก
คดีนี้ กองปราบปรามและชุดสืบสวน บก.สส.บช.น.ร่วมกันจับกุม พ.ต.ท.บรรยิน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย พร้อมสมุนอีก 5 คน คือ นายมานัส ทับนิล อายุ 67 ปี, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 49 ปี, นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข อายุ 34 ปี, นายชาติชาย เมณฑ์กุล อายุ 31 ปี และ ด.ต.ธงชัย วจีสัจจะ หรือ “ส.จ.อ๊อด” อายุ 62 ปี
โดยตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ซ่องโจร เรียกค่าไถ่ และหน่วงเหนี่ยวกักขังให้สูญสิ้นอิสรภาพ รวม 6 ข้อหา หลังร่วมกันอุ้มฆ่าเผา นายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชาย น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาล อาญากรุงเทพใต้ เจ้าของสำนวนคดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือ “เสี่ยจืด” กว่า 300 ล้านบาท เพื่อข่มขู่ น.ส.พนิดา ให้ตัดสินยกฟ้องคดี พ.ต.ท.บรรยิน, น.ส.กัณฐณา ศิวาธนะพล หรือ “น้ำตาล” และ น.ส.อุรชา พรหมา หรือ “ป้อนข้าว” ที่ตกเป็นจำเลย
หลักฐานสำคัญที่กองปราบฯ มัด พ.ต.ท.บรรยินและคณะ มีทั้งเลือดในรถที่ใช้อุ้มเหยื่อจากหน้าศาลฯ เศษกระดูก และชิ้นส่วนทรัพย์สินของผู้ตายบริเวณจุดเผาที่เขาใบไม้ จ.นครสวรรค์ โดยสมุนทั้ง 5 ให้การรับสารภาพและไปทำแผนประกอบ เหลือแต่เพียง พ.ต.ท.บรรยิน ที่ยังปากแข็ง โดยชุดสอบสวน อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด
พฤติการณ์โหดเหี้ยมที่ชุดสอบสวนกองปราบปราม ได้ยื่นคำร้องฝากขัง พ.ต.ท.บรรยินกับพวก ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานฯ และข้อหาอื่น และได้ออกหมายขัง พ.ต.ท.บรรยิน ในชั้นฝากขังระหว่างการสอบสวน ผัดแรก เป็นเวลา 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ -7 มีนาคม 2563 นั้น บรรยายให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เป็นนักการเมืองระดับรัฐมนตรี จะลงมืออุ้มฆ่านายวีรชัย เพื่อกดดันผู้พิพากษา ตัดสินคดีเพื่อให้ตนเองพ้นผิด
คำร้องระบุพฤติการณ์ สรุปได้ว่า พ.ต.ท.บรรยิน ตกเป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารใบโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ไปให้พรรคพวก พ.ต.ท.บรรยิน ที่ร่วมกระทำผิด และเป็นคดีเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ ซึ่งพ.ต.ท.บรรยิน ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพระโขนงอีกคดีหนึ่ง โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งรวมสำนวน เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.305/2561 มอบหมาย น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโส เป็นเจ้าของสำนวน ได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว นัดหมายฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวในวันที่ 20 มีนาคม 2563
ต่อมา ผู้ต้องหาที่ 1-6 ได้สมคบกันลักพาตัวนาย วีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชาย น.ส.พนิดา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เพื่อนำไปข่มขู่ให้ น.ส.พนิดา มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน โดยมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งการจัดหาพาหนะ การสะกดรอยตามน.ส.พนิดา และนายวีรชัย ซึ่งนายวีรชัย จะนั่งรถแท็กซี่จากบ้านพักมารับส่งน.ส.พนิดา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นประจำ
ก่อนถึงวันลงมือ พ.ต.ท.บรรยิน ยังสั่งให้สมุนซื้อน้ำมันเบนซิน 95 พร้อมเตรียมแผ่นสังกะสี และยางรถยนต์ 4 เส้น ขนไปยังบริเวณเขาใบไม้ ต.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ต่อมา วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.บรรยิน และสมุน ได้จอดรถดักรอนายวีรชัย ที่ฝั่งตรงข้ามศาลอาญากรุงเทพใต้ จุดเกิดเหตุ เมื่อนายวีรชัย ลงจากแท็กซี่ พ.ต.ท.บรรยิน, นายณรงค์ศักดิ์, นายประชาวิทย์ และนายชาติชาย ได้ร่วมกันพาตัวนายวีรชัย ขึ้นรถแล้วขับหลบหนี ไปทาง อ.บางบัวทอง เข้า จ.สุพรรณบุรี
ระหว่างนั้น น.ส.พนิดา ได้โทรศัพท์หานายวีรชัย แต่ พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ออกอุบายว่านายวีรชัย เกิดอุบัติเหตุ แต่เมื่อ น.ส.พนิดา ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ไม่พบ ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้น น.ส.พนิดาโทรศัพท์ไปยังหมายเลขนายวีรชัย อีกครั้ง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้พูดข่มขู่ให้พิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมด หากไม่ทำตามจะฆ่านายวีรชัย น.ส.พนิดา ได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม
และในเวลาต่อมา พ.ต.ท.บรรยินกับพวก ได้ร่วมกันฆ่านายวีรชัย นำศพไปเผาอำพรางในพื้นที่ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ก่อนนำศพนายวีรชัย ที่ยังเผาไหม้ไม่หมด รวมทั้งเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผาไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา ทำลายหลักฐานในการกระทำผิด
ผลกรรมจากการกระทำอย่างเหี้ยมโหดของ พ.ต.ท.บรรยิน และพวก เป็นการทำผิดซ้ำผิดซ้อน เมื่อนับย้อนไปถึงคดีฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ และการยักย้ายถ่ายโอนหุ้น โดยคดีดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาสี่ทุ่มของคืนวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน เป็นผู้ขับรถเลกซัส สีดำ พร้อมกับนายชูวงษ์ นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่นั่งมาด้วยหลังออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน ประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ข้างทาง ที่ ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขตประเวศ ทำให้นายชูวงษ์ เสียชีวิตทันที
ตอนแรกญาติไม่ติดใจสงสัยจึงทำพิธิฌาปนกิจศพ แต่เมื่อตรวจสอบเอกสารที่ส่งมาถึงผู้ตายทำให้ทราบว่าก่อนเกิดเหตุในระยะเวลา 10 วัน ทางบริษัทหลักทรัพย์แจ้งว่าผู้ตายได้โอนหุ้นในนามของผู้ตายเข้าไปไว้ในบัญชีหุ้นของ “น้ำตาล-น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล” อายุ 26 ปี พริตตี้สาว จำนวน 9.5 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 228 ล้านบาท และ “ป้อนข้าว-น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล” อายุ 25 ปี โบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งมูลค่าเกือบ 40 ล้าน ซึ่งทั้งสองคนมีความสนิทกันกับ พ.ต.ท.บรรยิน
จากความเคลือบแคลงสงสัยทำให้ญาตินายชูวงษ์ร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.(ขณะนั้น) ต่อมา กองปราบปราม เข้าไปคลี่คลายคดี โดย พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. (ตำแหน่งขณะนั้น) ตั้งทีมสืบสวนสอบสวน สืบสาวไปถึงการโอนหุ้นว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง จนพบว่า พ.ต.ท.บรรยิน เป็นผู้ต้องสงสัย ปลอมลายเซ็นของนายชูวงษ์ โอนหุ้นให้น.ส.กัญฐณา และ น.ส.อุรชา
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.560/2558 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2558 ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ และร่วมกันปลอม และใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฯ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ได้เข้ามอบตัวและปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
หลังจากนั้น วันที่ 28 มิ.ย. 2559 พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. (ยศตำแหน่งขณะนั้น) นำกำลังตำรวจกองปราบปราม พร้อมหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง จ 401/2559 ลงวันที่ 27 มิ.ย. 2559 จับกุม พ.ต.ท.บรรยิน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนฯ หลังมีหลักฐานว่ามีส่วนพัวพันกับการฆ่าอำพรางนายชูวงษ์ โดยเชื่อว่ามีการใช้ของแข็งทุบตีนายชูวงษ์ จนถึงแก่ความตายก่อนจัดฉากให้เป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ไม่เพียงแต่คดีนายชูวงษ์เท่านั้น กองปราบปรามยังได้รื้อคดี เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.บรรยิน ขณะดำรงตำแหน่งยศ ร.ต.ท. ที่ จ.นครสวรรค์ ประสบอุบัติเหตุรถชน จนทำให้ น.ส.รสรินทร์ ศรีนุกูล ภรรยาเสียชีวิต เนื่องจากรถสิบล้อสวนทางมาและหักหลบไปชนต้นไม้ จากการตรวจสอบพยานกับ น.ส.รสรินทร์ ทุกคนต่างเคลือบแคลงสงสัยถึงสาเหตุการตายของเธอ เนื่องจากน.ส.รสรินทร์ ขับรถไม่เป็น แต่ในบันทึกประจำวันเมื่อเกิดอุบัติเหตุกลับระบุว่า น.ส.รสรินทร์ เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว
นอกจากนั้น สภาพบาดแผลของน.ส.รสรินทร์ ยังพบว่า คอหัก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวและมีการฌาปนกิจศพอย่างเร่งรีบ ซึ่งตำรวจได้นำมาเป็นโมเดลทำคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ว่ามีลักษณะพฤติการณ์ที่คล้ายกันด้วย แต่เนื่องด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานทำให้หลักฐานสำคัญสูญหายไป
ทั้งนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของพ.ต.ท.บรรยินจะลงเอยอย่างไร จะรอดคุกหรือไม่ อีกไม่นานก็รู้