กองปราบฝากขัง-ค้านประกัน “บรรยิน” กับพวก แก๊งอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ต่อศาลอาญาคดีทุจริต เกรงข่มขู่พยาน โดนข้อหาหนักข่มขืนใจเจ้าพนักงาน เผยพฤติกรรมสุดโหด ติดตามเหยื่อนาน 9 วัน เตรียมอุปกรณ์ฆ่าไว้พร้อม ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขัง คุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
เมื่อเวลา 13.15 น. วันนี้ (25 ก.พ.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามได้นำตัว 1. พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี 2. นายมานัส ทับนิล อายุ 67 ปี 3.นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี 4. นายชาติชาย เมณฑ์กูล 31 ปี 5. นายประชาวิทย์ หรือ ตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี 6. ดาบตำรวจ ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ผู้ต้องหา 1-6 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น
โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน นับตั้งเเต่วันที่ 25 ก.พ.-7 มี.ค. 2563 แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานบุคคลจำนวน 10 ปาก, รอผลการตรวจสอบวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาและจากที่เกิดเหตุ, รอผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ, รอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร
โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า สืบเนื่องจากพนักงานอัยการกองคดีอาญากรุงเทพใต้ และทายาทของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ กับพวก เป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร ใบโอนหุ้นและมีการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ไปให้พรรคพวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ร่วมกระทำความผิดโดยทุจริต ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมอำพราง นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพระโขนงอีกคดีหนึ่ง และศาลอาญากรุงเทพใต้
ได้สั่งรวมสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.305/2561 โดยมอบหมาย นางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโส เป็นเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว และมีการนัดหมายฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว ในวันที่ 20 มี.ค.2563 ต่อมา ผู้ต้องหาที่ 1-6 ได้สมคบกันเพื่อทำการลักพาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของนางวสาวพนิดาฯ (ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน) เพื่อนำไปข่มขู่ให้นางสาวพนิดา มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มอบโทรศัพท์มือถือให้กับผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 คนละ 1 เครื่อง ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 มีไว้ใช้เองจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นได้เดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ มายังกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเอเวอร์เรสต์ สีดำ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ มาถึงบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 2และ 3 ได้ช่วยกันนำรถจักรยานยนต์ขึ้นท้ายรถยนต์กระบะ ทะเบียน บย 8386 นครสวรรค์ โดยมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ และมีผู้ต้องหาที่ 1 และ 3 นั่งไปด้วย โดยขับมาจอดในวัดสุทธิวราราม จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 2 กับพวก ได้นำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว มาติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 579 กรุงเทพฯ และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 3 นั่งซ้อนท้าย ไปเฝ้าดู นางสาวพนิดา และ นายวีรชัย แต่ไม่พบ จึงได้จอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย ใกล้ศาลอาญากรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร แล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านมาที่ซอยคลังมนตรี ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะกลับบ้านไป
ต่อมาในวันที่ 8, 12, 13, 14, 15, 16, 17 และ 20 ม.ค. 2563 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ยังคอยติดตาม สะกดรอยเฝ้าดูพฤติการณ์ของนางสาวพนิดา และนายวีรชัย ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปจนถึงบ้านพักย่านถนนวรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ โดยมีการใช้รถจักรยานยนต์ ติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 597 กรุงเทพฯ และใช้รถยนต์ยี่ห้อ มินิคูเปอร์ ทะเบียน 2 กฐ 524 กรุงเทพฯ ในการเฝ้าติดตาม จนได้ทราบถึงพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของนางสาวพนิดา และ นายวีรชัย โดยในแต่ละวัน นายวีรชัย จะนั่งรถแท็กซี่จากบ้านพักมารับ-ส่ง นางสาวพนิดา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นประจำ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ,นายณรงค์ศักดิ์ และ นายมานัส ได้มีการจัดเตรียมยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุไว้ เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ ทะเบียน ชฉ 683 กรุงเทพฯ ซึ่งมี พ.ต.ท.ประเสริฐ ผลประสาร เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง โดยนำมาถอดแล็คหลังคา บันไดด้านหลัง และกระจกที่กันแมลงหน้ารถออก แล้วนำแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว 7719 กรุงเทพฯ มาติดไว้แทน เพื่ออำพราง และก่อนถึงวันที่จะลงมือก่อเหตุลักพาตัว พ.ต.ท.บรรยิน ได้สั่งการให้นายณรงค์ศักดิ์ ซื้อน้ำมันเบนซิน 95 พร้อมให้จัดเตรียมแผ่นสังกะสี และยางรถยนต์ 4 เส้น เตรียมไว้ โดย พ.ต.ท.บรรยิน และ นายณรงค์ศักดิ์ ได้ร่วมกันขนสิ่งของดังกล่าวเข้าไปยังจุดที่บริเวณเขาใบไม้ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้รถยนต์กระบะ ซึ่งมีนายณรงค์ศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่
ต่อมาในวันที่ 4 ก.พ. 2563 ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ขับรถยนต์โตโยต้า รุ่นสปอร์ต ไรเดอร์ ติดแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว 7719 กรุงเทพฯ ออกจากบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี โดย นายมานัส ขับขี่รถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด เอฟเวอร์เรสต์ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ ขับตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน โดย นายมานัส ขับรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ ขับออกไปอำเภอบางบัวทอง มุ่งหน้าไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนรถยนต์สปอร์ตไรเดอร์ คันที่ใช้ก่อเหตุ ได้ขับขึ้นทางด่วนที่ด่านเก็บเงิน “พหลโยธิน” ขับลงที่ถนนจันทร์ แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามศาลแพ่งกรุงเทพใต้ (จุดเกิดเหตุ) เมื่อ นายวีรชัย ลงจากรถแท็กซี่ พ.ต.ท.บรรยิน, นายณรงค์ศักดิ์, นายประชาวิทย์, นายชาติชาย ก็ร่วมกันพาตัวนายวีรชัย ขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีขึ้นทางด่วนที่ด่าน “สุรวงศ์” ก่อนที่จะขับไปเข้าทางด่วนที่ด่าน “บางซื่อ 1” ก่อนที่จะขับมุ่งหน้าไปทางอำเภอบางบัวทอง และ จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างนั้น นางสาวพนิดา ได้โทรศัพท์ไปหา นายวีรชัย แต่ พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้ออกอุบายว่า นายวีรชัย เกิดอุบัติเหตุ เมื่อ นางสาวพนิดา ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้วไม่พบเหตุ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้น นางสาวพนิดา ได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขของ นายวีรชัย อีกครั้ง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้พูดข่มขู่ นางสาวพนิดา ให้พิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมด หากไม่ทำตามก็จะฆ่านายวีรชัย
แล้วนางสาวพนิดาจึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ซึ่งในเวลาต่อมา พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ก็ได้ร่วมกันฆ่านายวีรชัย แล้วนำศพไปเผาอำพราง ในพื้นที่ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่จะนำศพของนายวีรชัย ที่ยังเผาไหม้ไม่หมด รวมทั้งเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผาไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำลายหลักฐานในการกระทำผิด
สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ต่อศาลอาญา และ ศาลได้อนุมัติหมายจับที่ 221/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 (พ.ต.ท.บรรยิน) หมายจับที่ 222/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 63 (นายมานัส), หมายจับที่ 223/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 (นายณรงค์ศักดิ์ ), หมายจับที่ 248/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2563 (นายประชาวิทย์), หมายจับที่ 249/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2563 (ดาบตำรวจ ธงชัย), หมายจับที่ 250/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2563 (นายชาติชาย) ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1-6 ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1-6 ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับดังกล่าวมาก่อน จึงถูกนำตัวส่งถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1, 2, 6 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3, 4, 5 ให้การรับสารภาพ ตลอดข้อกล่าวหา
เหตุเกิดที่ บริเวณหน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร, แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร, ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี, อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ หลายท้องที่เกี่ยวพันกัน เมื่อระหว่างวันที่ 7 ม.ค. 2563 ถึงวันที่ 5 ก.พ. 2563 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139, 140 วรรคแรก, 210 วรรคสอง, 289(4), 309 วรรคสอง, 313(3) วรรคสาม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 199 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83
พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก เนื่องจากคดีที่มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
สำหรับการจับกุมนั้น เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลา 06.20 น. ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 221/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด”
วันเดียวกัน เวลา 06.30 น.ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ ผู้ต้องหาที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 223/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป , เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด”
ในวันที่ 23 ก.พ. 2563 เวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายมานัส ทับนิล ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 222/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด”
เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2563 เวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายชาติชาย เมณฑ์กูล ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 250/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2562 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป , เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด”
และในวันเดียวกัน 23 ก.พ. 2563 เวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข ผู้ต้องหาที่ 5 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 248/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2563ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป , เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” และในวันเดียวกัน (23 ก.พ.) เวลา 17.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว ดาบตำรวจธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ ผู้ต้องหาที่ 6 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 249/2563 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป, พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด”
โดยแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาที่ 1-6 ตรวจดูแล้ว จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1-6ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับดังกล่าวมาก่อน จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง6 ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม แล้วยืนยันเหตุจำเป็น ตามคำร้องที่จะรอตรวจดีเอ็นเอจากชิ้นส่วนศพ รอผลตรวจดีเอ็นเอจากคราบเลือดที่พบในรถยนต์ของกลาง รอสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 20 ปาก รอผลตรวจสถานที่เกิดเหตุ ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่1 ได้แถลงต่อศาลให้ทราบว่านับตั้งแต่ถูกจับกุมจนถึงขนาดนี้ยังไม่ได้ติดต่อกับทนายความของตัวเอง
โดยตำรวจได้ยึดโทรศัพท์ไว้ขณะที่ศาลสอบถามผู้ต้องหาว่า ในระหว่างสอบคำให้การในชั้นสอบสวนได้มีทนายได้มีทนายอยู่ด้วยหรือไม่ และให้การไว้อย่างไร พ.ต.ท.บรรยิน ระบุว่า มีทนายที่รัฐจัดหาให้และมีภรรยาอยู่ด้วยโดยตลอด และให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ขอให้การในชั้นศาล ศาลจึงชี้แจงว่ากระบวนการดังกล่าวมาถือได้ว่ามีทนายความของผู้ต้องหาร่วมอยู่ด้วยแล้ว ทั้งนี้เมื่อศาลพิจารณาคำร้องแล้วผู้ต้องหาทั้งหมดไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้
อย่างไรก็ตาม ได้แจ้งให้ พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่ 1 ทราบว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 13.00 น. อัยการจะนำพยานมาสืบหน้าล่วงหน้า ซึ่งได้มีการประสานกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปรามแล้ว โดยให้ผู้ต้องหาที่ 1 จัดหาทนายมาให้พร้อมทำการซักค้านด้วย หากไม่มีทนายศาลจะจัดหาให้ตามขั้นตอน
ทั้งนี้ ญาติของผู้ต้องหาทั้งหมดได้ดำเนินการยื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยชั่วคราว ล่าสุดศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ประกันศาลพิจารณาคำร้องผู้ต้องหาที่ 1-6 พร้อมหลักทรัพย์แล้ว พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เชื่อว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยชั่วคราวมีคำสั่งให้ยกคำร้อง พร้อมแจ้งเหตุผลในการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาและผู้ร้องขอประกันทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 อันเป็นข้อหาเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหามาด้วยนั้น รวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในความหมายที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ. 2559 มาตรา 3(3) ซึ่งประธานศาลอุทธรณ์เคยมีคำวินิจฉัยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตฯ มาตรา 11 ให้คดีความผิดตามมาตรา 139 ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อข่มขืนใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการ ไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำใดตามประมวลกฎหมายญาหรือกฎหมายอื่นเป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
มีรายงานว่าศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งกรณีที่ เจ้าพนักงานศาลยุติธรรม เสนอรายงานต่อศาลเกี่ยวกับคำสั่งปล่อยชั่วคราว "พ.ต.ท.บรรยิน" ในคดีที่อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกรวม 4 คน ในคดีโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ซึ่งคดีโอนหุ้นนี้ พ.ต.ท.บรรยินที่ตกเป็นจำเลยที่ 3 ได้รับการปล่อยชั่วคราวอยู่ โดยคดีโอนหุ้นนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 20 มี.ค.นี้ แต่เนื่องจากขณะนี้ พนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป) ได้ยื่นคำร้องฝากขัง พ.ต.ท.บรรยินกับพวก ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานฯ และข้อหาอื่น ซึ่งวันนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯออกหมายขัง พ.ต.ท.บรรยิน ในชั้นฝากขังระหว่างการสอบสวน
อย่างไรก็ตามศาลอาญากรุงเทพใต้ พิเคราะห์รายงานแล้วเห็นว่า พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์ก่อให้เกิดอันตราย หรือข่มขู่ผู้อื่น จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตการปล่อยชั่วคราว พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 ดังกล่าว และให้ออกหมายขังจำเลยไว้ พร้อมกับให้มีหนังสือแจ้งนายประกัน และ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 คดีโอนหุ้นทราบคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวคดีดังกล่าวด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวของ พ.ต.ท.บรรยินแล้ว เท่ากับ พ.ต.ท.บรรยิน จะต้องถูกคุมขังในเรือนจำ คดีโอนหุ้นชูวงษ์ด้วย